เสียมราฐประตูสู่อารยธรรมแขมร์
เกือบจะทุกประเทศในย่านนี้ล้วนมีโมเดลในการสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเหมือนๆ กัน
เกือบจะทุกประเทศในย่านนี้ล้วนมีโมเดลในการสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเหมือนๆ กัน นั่นก็คือการพัฒนาภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรมและภาคการบริการ แต่สิ่งที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศนั่นก็คือ ต้นทุนของทรัพยากรการท่องเที่ยว ซึ่งประเทศกัมพูชาเองก็มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวจนกลายเป็นอีกหนึ่งจุดขายที่สำคัญของประเทศ โดยมีศูนย์กลางความรุ่งเรืองอยู่ที่เมืองเสียมราฐ
การพัฒนาเส้นทางทั้งทางบกและทางอากาศคือส่วนสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของกัมพูชาเติบโตอย่างก้าวหน้า โดยในปี 2013 ที่ผ่านมา กระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชาสรุปยอดนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามามีมากกว่า 4.21 ล้านคน เป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นจากปี 2012 ถึง 17% สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 2,547 ล้านเหรียญสหรัฐ
เสียมราฐคือเมืองท่องเที่ยวหลักของกัมพูชา เพราะเป็นที่ตั้งของโบราณสถานที่มีความยิ่งใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก นั่นก็คือ นครวัด ซึ่งเป็นอดีตเมืองหลวงเก่าที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ตอนช่วงต้นศตวรรษที่ 12 โดยจุดเด่นของที่นี่คือปราสาทนครวัดที่ตั้งอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของนครวัด มีตัวปราสาทสูง 60 เมตร กว้าง 80 เมตร และยาว 100 เมตร ล้อมรอบด้วยคูน้ำยาวด้านละ 1.5 กิโลเมตร ซึ่งเป็นการออกแบบตามหลักคติความเชื่อของศาสนาฮินดู ที่เชื่อว่าสถานที่แห่งนี้เปรียบได้กับศูนย์กลางของจักรวาล และเป็นที่สถิตของเทพเจ้าในศาสนาฮินดู ดังนั้นที่แห่งนี้จึงถูกจัดอันดับให้เป็นศาสนสถานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ไม่ไกลกันเป็นที่ตั้งของนครธม อีกหนึ่งอดีตเมืองหลวงที่เคยมีความรุ่งเรืองในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ราวปลายศตวรรษที่ 12 ซึ่งในอดีตนั้นที่แห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของชุมชนโบราณขนาดใหญ่ เพราะมีหลักฐานสำคัญคือกำแพงเมืองที่ล้อมรอบอาณาเขตคิดเป็นพื้นที่ถึง 9 ตารางกิโลเมตร ในยุคนี้เป็นอีกยุคของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ จากยุครุ่งเรืองของศาสนาฮินดูมาสู่ยุคแห่งการเผยแพร่ศาสนาพุทธ โดยมีหลักฐานสำคัญปรากฏอยู่ในปราสาทตาพรหม ซึ่งพบเศษซากการทำลายศิลปะของศาสนาฮินดูมากที่สุด และยังถูกปล่อยทิ้งร้างจนมีต้นไม้ใหญ่แผ่รากขึ้นปกคลุมตัวปราสาท ดูลึกลับและสวยงาม จนกลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวจะต้องมาต่อคิวเพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึก และไม่ไกลกันยังเป็นที่ตั้งของปราสาทบายน ที่ในอดีตเคยเป็นศาสนสถานประจำรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งมีหลักฐานสำคัญคือ หอคอยทั้ง 37 หอ ปรากฏภาพหินแกะสลักใบหน้าของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทั้ง 4 ด้าน ในปางพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร จัดทำขึ้นตามคติความเชื่อในแบบเทวราชา รวมแล้วทั้งสิ้นมีมากถึง 148 ใบหน้า
อย่างที่ทราบกันดีว่ากัมพูชาและไทยต่างก็มีวัฒนธรรมร่วมกันมาช้านาน จึงมีความคล้ายคลึงกันในหลายๆ มิติ แต่มีความแตกต่างกันในรายละเอียดปลีกย่อย ซึ่งที่หมู่บ้านวัฒนธรรมกัมพูชา ใจกลางเมืองเสียมราฐ สามารถบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี ผ่านการจัดแสดงในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนจัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์จัดแสดงวัตถุโบราณ ส่วนจัดแสดงบ้านเรือนแบบต่างๆ และการแสดงแสงสีเสียงประกอบนาฏศิลป์พื้นบ้าน ที่มีความสวยงามและอ่อนช้อย ดูแล้วช่วยทำให้เข้าใจถึงศิลปวัฒนธรรมของกัมพูชาได้อย่างดี
การมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามเพียงอย่างเดียว คงไม่ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเติบโตได้ ถ้าไม่มีระบบสาธารณูปโภคที่เพียบพร้อม เช่น ถนนที่ราบเรียบ ระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ โรงแรมที่มีมาตรฐานในระดับสากล ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้กัมพูชาพัฒนาช้ากว่าประเทศอื่นๆ ในย่านนี้ แต่หากจะพูดถึงเฉพาะที่เสียมราฐนั้น ได้มีการพัฒนามาเป็นระยะเวลานานแล้ว ส่งผลให้เกิดการพัฒนาด้านอื่นๆ ตามมาด้วย เช่น การสร้างสนามบินนานาชาติและระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้าและน้ำประปา ทำให้ในปัจจุบันนี้เสียมราฐมีโรงแรมกว่า 130 แห่ง มีจำนวนห้องพักรวมกันกว่า 1 หมื่นห้อง แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่เพียงพอในช่วงไฮซีซั่น อันเนื่องมาจากความกว้างใหญ่ของนครวัดและนครธม ทำให้นักท่องเที่ยวมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 4 ถึง 5 วัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวชาวยุโรปที่นิยมเดินทางมาศึกษาประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้ง โดยในปี 2013 ที่ผ่านมา กระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชาได้สรุปตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังเสียมราฐมีจำนวนทั้งสิ้น 2.237 ล้านคน จากจำนวนกว่า 4 ล้านคน ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศกัมพูชา
สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางเข้ามายังเสียมราฐ ยังมีจำนวนไม่มากนัก เพราะยังมีคนไทยอีกจำนวนไม่น้อยที่มีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์และยังคงยึดติดกับภาพเก่าๆ เกี่ยวกับประเทศนี้ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่นี่แทบไม่แตกต่างกับเมืองท่องเที่ยวสำคัญๆ ของไทย ทำให้การมาท่องเที่ยวที่นี่ไม่ต้องปรับตัวมาก ทั้งสภาพอากาศ อาหารการกิน และอุปนิสัยของผู้คน ก็ยิ้มแย้มเฮฮาเหมือนๆ คนไทย อีกทั้งยังมีชาวเสียมราฐจำนวนไม่น้อยสามารถสื่อสารด้วยภาษาไทยได้และยังสามารถใช้เงินไทยในการชำระสินค้าได้อีกด้วย
เสียมราฐเป็นประตูสำคัญที่จะพาไปทำความรู้จักกับประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรแขมร์ ซึ่งถือเป็นอาณาจักรที่มีประวัติศาสตร์ร่วมกับประเทศไทย ด้วยเหตุนี้ แท้จริงแล้วกัมพูชาและไทยต่างสนิทชิดเชื้อกันมานานแล้ว ผู้คนสองฟากฝั่งก็ไปมาหาสู่กันโดยตลอด รวมถึงทำธุรกิจการค้าร่วมกัน แต่โดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเฉพาะชายแดนเสียมากกว่า หากแต่ว่าลึกเข้ามายังเสียมราฐ ยังมีคนไทยจำนวนน้อยเข้ามาท่องเที่ยวที่นี่ หยุดยาวสงกรานต์ปีนี้เป็นโอกาสดีในการลองมาท่องเที่ยวที่นี่ เราเชื่อว่าถ้าได้มาแล้วทัศนคติที่มีต่อประเทศนี้จะเปลี่ยนแปลงไปในทางบวกขึ้น เมื่อได้ทำความรู้จักจากประสบการณ์จริง


