posttoday

มะนิลา พาเพลิน

22 ตุลาคม 2554

กรุงมะนิลามีความคล้ายคลึงกับกรุงเทพมหานครของเรา คือทั้งสองเมืองล้วนแออัดไปด้วยผู้คน

กรุงมะนิลามีความคล้ายคลึงกับกรุงเทพมหานครของเรา คือทั้งสองเมืองล้วนแออัดไปด้วยผู้คน

การจราจรติดขัด ตึกสูงเสียดฟ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเต็มไปด้วยศาสนสถาน หากแต่ว่าอย่างหลังนั้นในความเหมือนอาจมีความต่าง คือ กรุงมะนิลาเต็มไปด้วยโบสถ์คริสต์ แต่กรุงเทพฯ เต็มไปด้วยวัดวาอาราม นี่คือความรู้สึกของพวกเราในชั่วโมงแรกเมื่อมาถึงกรุงมะนิลา

กรุงมะนิลาออกเสียงในภาษาตากาล็อกว่า “ไมนิลา” ที่นี่เราทราบกันดีว่ามีสถานะเป็นเมืองหลวงของประเทศฟิลิปปินส์ ในอดีตประเทศสเปนคือผู้ชุบชีวิตให้มะนิลาเป็นเมืองท่าที่คึกคักด้วยเรือสำเภาสินค้า ที่นี่จึงเป็นหนึ่งในสถานีการค้าที่สำคัญของอาณานิคมสเปน ด้วยความที่ตกเป็นอาณานิยมยาวนานกว่า 400 ปี อิทธิพลของสเปนจึงถูกฝังรากลึกในดินแดนนี้ ผ่านทางวัฒนธรรมและศาสนา จึงไม่แปลกอะไรที่ภาพลักษณ์ของมะนิลาจะดูแตกต่างไปจากประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียนด้วยกัน เช่น สถาปัตยกรรมการออกแบบอาคารต่างๆ ล้วนสะท้อนออกมาในรูปแบบของศิลปะแบบโคโลเนียล ที่มีกลิ่นอายของความเป็นละตินอย่างเด่นชัด ตัวอย่างที่หาชมได้ง่ายที่สุดในมะนิลาก็คือโบสถ์คริสต์ ที่มีทั้งเก่าแก่นับร้อยปีไปจนถึงโบสถ์สร้างขึ้นใหม่อย่างหรูหราและอลังการ แต่ที่ดูจะโดดเด่นไม่น้อยคือที่โบสถ์เซนต์โจเซฟ

มะนิลา พาเพลิน

(St.Joseph) ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองที่เรียกว่า Las Pinas โบสถ์แห่งนี้เมื่อพินิจพิจารณาจากรูปลักษณ์ภายนอก ดูเก่าแก่และเคร่งขรึม แต่ไม่ทรุดโทรมประการใด ถึงแม้ว่าจะผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่า 192 ปีแล้วก็ตาม สิ่งสำคัญของที่นี่ไม่ใช่เพียงแค่ความเก่าแก่ของตัวโบสถ์แต่อย่างใด แต่กลับเป็นออร์แกนเครื่องดนตรีที่คล้ายกับเปียโน ซึ่งถูกสร้างขึ้นพร้อมโบสถ์แห่งนี้ โดยบาทหลวงชาวสเปนนามว่า Cera de la Virgen de Cormen นักบวชผู้มีอัจฉริยะทางด้านวิทยาศาสตร์ เคมี สถาปนิกและศาสตร์ของดนตรีท่านบาทหลวงอุทิศทั้งชีวิตเพื่อสร้างโบสถ์แห่งนี้และออร์แกนไม้ไผ่จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต ซึ่งปัจจุบันนี้ออร์แกนไม้ไผ่ยังคงใช้การได้อย่างดี ด้วยความเก่าแก่และทรงคุณค่านี่เอง พิพิธภัณฑ์แห่งชาติฟิลิปปินส์จึงประกาศให้ออร์แกนไม้ไผ่นี้เป็นสมบัติวัฒนธรรมของชาติ ทุกปีที่นี่จะจัดงานเทศกาลออร์แกนนานาชาติ ซึ่งมีนักดนตรีจากทั่วโลกเข้าร่วมบรรเลงบทเพลงจากออร์แกนไม้ไผ่นี้ ผสานไปพร้อมกับคณะประสานเสียง ขับกล่อมบทเพลงเพื่อมวลมนุษยชาติ และสดุดีต่อออร์แกนไม้ไผ่นี้ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ของโลก

มะนิลา พาเพลิน

กรุงมะนิลาคือเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดอีกเมืองหนึ่งของโลก ดังนั้นจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรติดขัดได้ ถึงแม้ว่าปัจจุบันรัฐบาลจะพยายามสรรหาวิธีการแก้ปัญหาด้วยระบบขนส่งมวลชนรูปแบบใหม่ก็ตาม เช่น การสร้างรถไฟฟ้า แต่ถนนในมะนิลาก็ยังคงจอแจเสมอมา สิ่งที่สร้างสีสันให้กับท้องถนนมาเนิ่นนานคงหนีไม่พ้นรถโดยสารจี๊ปนีย์ ที่ต่างแข่งขันกันวาดลวดลายและสีสัน ประดับประดาด้วยงานโลหะต่างๆ เพื่อเรียกความสนใจจากลูกค้า ซึ่งรถจี๊ปนีย์นั้นทำหน้าที่ขนส่งผู้คนในมะนิลามาตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง จุดกำเนิดของรถจี๊ปนีย์มาจากรถขนส่งของกองทัพอเมริกา ที่เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่สอง อเมริกาใช้ที่นี่ตั้งฐานทัพขนาดใหญ่เพื่อส่งกำลังพลไปรบในสมรภูมิแผ่นดินใหญ่ ภายหลังเมื่อสงครามสงบ อเมริกาถอนทัพและได้ขายรถจี๊ปทหารจำนวนมากให้กับชาวฟิลิปปินส์ ด้วยความที่รถจี๊ปมีสมรรถนะในการบรรทุกสูง จึงมีคนหัวใสนำมาดัดแปลงใช้เป็นรถโดยสารและเรียกชื่อว่ารถจี๊ปนีย์ แต่อู่ที่มีชื่อว่าซาเรา (Sarao) คือผู้บุกเบิกการแต่งแต้มสีสันตระการตาให้กับรถจี๊ปนีย์ จนกระทั้งได้รับความนิยมอย่างสูง แต่อู่ซาเราในวันนี้ เปรียบเสมือนกับชายชราที่รวยริน เพราะมีคู่แข่งมากประกอบกับผู้คนหันมานิยมรถส่วนตัวเพิ่มขึ้น จึงทำให้ทุกวันนี้ซาเราต้องปิดกิจการและรับเพียงการประกอบรถและซ่อมเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่ก็เปิดโอกาสให้คนทั่วไปสามารถเข้าไปเยี่ยมชมอู่ที่เคยมีคำสั่งผลิตถึงเดือนละ 300 คัน ว่ากันว่าที่นี่อาจทำให้ชาวฟิลิปปินส์วัยดึกบางคนได้หวนรำลึกถึงวัยหนุ่มเมื่อครั้งที่เคยใส่กางเกงขาม้าห้อยโหนโจนทะยานไปบนรถจี๊ปนีย์เพื่อเข้าเมืองไปดูภาพยนตร์อเมริกัน

มะนิลา พาเพลิน

ความวุ่นวายตามประสาเมืองใหญ่ของมะนิลา อาจทำให้ใครหลายคนอึดอัดจนต้องถวิลหาธรรมชาติ ห่างออกไปเพียง 55 กิโลเมตรทางใต้ของกรุงมะนิลา เป็นที่ตั้งของเมืองตาเกย์เตย์ (Tagaytay) เมืองเล็กๆ ซึ่งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 800 เมตร ที่นี่แวดล้อมด้วยขุนเขาและสายหมอก จึงทำให้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากสำหรับชาวเมืองมะนิลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันหยุดสัปดาห์ นอกนี้ที่นี่เป็นที่ตั้งของภูเขาไฟตาอาล (Taal) 1 ใน 38 ภูเขาไฟในประเทศฟิลิปปินส์ ตาอาลเป็นภูเขาไฟขนาดเล็กดูน่ารักน่าชัง แต่ในปี 1977 ภูเขาไฟลูกนี้เคยแผลงฤทธิ์ปะทุขึ้นพร้อมทั้งพ่นลาวาและขี้เถ้าร้อน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 5,000 คน ปัจจุบันตาอาลยังคงหลับใหล และเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวใจถึงปีนป่ายขึ้นไปเยี่ยมเยือนได้ถึงปากปล่อง แต่อย่าลืมว่าประเทศฟิลิปปินส์ตั้งอยู่บนเส้นทางของวงแหวนแห่งไฟ หรือ The Ring of Fire จึงมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดแผ่นดินไหว และปลุกให้เจ้าตาอาลลุกขึ้นมาอาละวาดแผลงฤทธิ์อีกก็เป็นได้

มะนิลา พาเพลิน

กรุงมะนิลาคือศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของประเทศ ดังนั้นที่นี่จึงเปิดประตูต้อนรับผู้คนจำนวนนับล้านต่อปี ธุรกิจโรงแรมจึงเป็นสิ่งสำคัญในการรองรับผู้คนเหล่านั้น ซึ่งหนึ่งในโรงแรมที่มีชื่อเสียงที่สุดในมะนิลาคือ โรงแรมดุสิตธานี โรงแรมสัญชาติไทยที่ให้บริการแบบไทยแท้ๆ ตั้งอยู่ในย่านมากาติ (Makati) ย่านทางธุรกิจสำคัญของมะนิลา สิ่งที่แขกผู้เข้าพักจะได้รับตั้งแต่ประตูทางเข้าคือรอยยิ้มพิมพ์ใจและการไหว้แบบไทยที่นุ่มนวลและอ่อนช้อย ไปจนถึงการแต่งกายแบบไทยแท้ จากพนักงานชาวฟิลิปปินส์ที่ผ่านการอบรมมาอย่างดี Mr.Prateek Kumar ผู้จัดการทั่วไปโรงแรมดุสิตธานี มะนิลา บอกกับเราว่า ถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นสาขาที่ตั้งอยู่ในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งมีความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรม แต่ที่นี่ก็ยังคงยึดถือสิ่งที่เขาเรียกว่า “ไทยดีเอ็นเอ” พร้อมกันนั้นยังผสมผสานกับความถนัดเรื่องการบริการแบบสากลของชาวฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดจากตะวันตกและมีในตัวชาวฟิลิปปินส์ทุกคน จึงทำให้แขกหลายคนที่เคยประทับใจกับเสน่ห์การบริการแบบไทย เมื่อครั้งที่เคยได้เดินทางไปประเทศไทย ไม่ลังเลใจที่จะเลือกใช้บริการของโรงแรมดุสิตธานีในมะนิลา

มะนิลา พาเพลิน

ประเทศฟิลิปปินส์ก่อนหน้าเราจะเดินทางมานั้น ต้องยอมรับเลยว่าเรารู้จักเพียงผิวเผินเท่านั้น ประเทศนี้จึงถูกมองข้ามไปบ้างบางครั้ง เพราะวัฒนธรรม ภาษา การนับถือศาสนาและรวมไปถึงทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่ห่างไกลจากกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ในอาเซียน การรับรู้เกี่ยวกับประเทศนี้จึงมีน้อยมาก และทำให้เราไม่สามารถสัมผัสและเข้าถึงฟิลิปปินส์ได้มากนัก แต่วันนี้เราเดินทางผ่านเกาะเซบู เกาะโบราไค (หาอ่านย้อนหลังได้ใน posttoday.com) และจวบจนสุดท้ายที่มะนิลาเพียง 5 วันของการเดินทาง ถึงแม้ว่าจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ และมีอุปสรรคนานัปการ เรากลับเข้าใจและรู้จักตัวตนของฟิลิปปินส์หลากหลายด้าน ในความรู้สึกของเราประเทศนี้มีความน่าสนใจด้านวัฒนธรรมและความสวยงามทางธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทะเล แต่สิ่งที่เราพลาดไปคือการได้เห็นวิถีชนบท ผืนป่าและชนพื้นเมือง ซึ่งมีความน่าสนใจและอันซีนอีกมาก เราขอสัญญาว่าจะต้องกลับมาให้ได้อีกครั้ง ไม่ใกล้ไม่ไกลใช้เวลาบินเพียง 3 ชั่วโมงด้วยสายการบิน Cebu Pacific Air จากประเทศไทยมาลงที่มะนิลา แล้วลองพิสูจน์ว่ามะนิลาพาเพลินจริงหรือไม่?


 

 

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด ซันเดอร์แลนด์ พบ นิวคาสเซิ่ล พรีเมียร์ลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68