posttoday

ดึงศักยภาพภายในมาพัฒนาให้ถูกจุด

12 กุมภาพันธ์ 2561

เคยลองสังเกตตัวเองไหมว่า คุณมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง เป็นดีเอ็นเอที่ไม่ซ้ำแบบใคร และคนที่จะตอบได้ก็มีเพียงคุณเท่านั้น

โดย...อณุสรา ทองอุไร ภาพ Pixabay

เคยลองสังเกตตัวเองไหมว่า คุณมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง เป็นดีเอ็นเอที่ไม่ซ้ำแบบใคร และคนที่จะตอบได้ก็มีเพียงคุณเท่านั้น บางทีคุณก็พบว่า ภาพที่คนอื่นมองคุณ ก็ไม่ค่อยตรงกับโลกภายในที่คุณเป็น เช่น ภายใต้ภาพลักษณ์นักออกสังคมสังสรรค์ครื้นเครง ภายในของคุณอาจชอบชาร์จพลังด้วยการอยู่เงียบๆ คนเดียว และคุณเองก็ไม่ชอบการออกสังคมเอาซะเลย เพียงแต่คุณต้องทำไปเพราะหน้าที่เท่านั้น ต่างกับเพื่อนที่มีธรรมชาติชอบอยู่กับคนหมู่มาก ยิ่งได้เจอคนใหม่ๆ ยิ่งมีพลัง แต่คุณกลับต้องใช้พลังมากกับการพบปะกับคนที่ไม่คุ้นเคย หรือคุณอาจเป็นคนหนึ่งที่มักถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนโผงผาง ก้าวร้าว แต่คุณกลับมองว่าตนเองนั้นเปิดเผย ตรงไปตรงมา มุ่งเป้า ชอบความมีประสิทธิภาพ จึงไม่ต้องการอ้อมค้อมกับใคร

เมื่อคุณเจอคนที่ไม่ค่อยพูดความในใจออกมา คุณก็อาจจะรู้สึกอึดอัด และตัดสินว่าเขาเป็นคนลับลมคมใน คนภายนอกอาจตัดสินคุณจากสิ่งที่เห็น เพราะลักษณะเฉพาะภายในเป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ และบางครั้งคุณเองก็ตัดสินคนจากพฤติกรรมที่คุณสังเกตเห็นเช่นกัน ดังนั้นหากจะให้นิยามความเป็นตัวคุณ บางครั้งก็ยากจะอธิบาย เพราะนิสัยความชอบบางครั้งก็ดูเหมือนจะเหนือเหตุผลบรรยาย

คุณทราบหรือไม่ว่าลักษณะเฉพาะที่ซ่อนอยู่ภายในนั้นถือเป็นขุมทรัพย์มีค่าเฉพาะคุณ หากคุณรู้จักนำมาใช้ให้ถูกที่ถูกทาง คุณก็จะสามารถเป็นตัวคุณแบบที่เป็น การที่คุณไม่ต้องฝืนให้เป็นแบบใคร จะทำให้คุณนำพลังทั้งหมดไปโฟกัสในสิ่งที่คุณถนัด และเลือกที่จะเป็นเวอร์ชั่นเยี่ยมที่สุดในแบบที่คุณต้องการ

แล้วทำอย่างไรจึงจะรู้จักตัวเอง เมย์ลภัส บุญสิทธิ์วิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายการโค้ช บริษัท สลิงชอท กรุ๊ป กล่าวว่า ปัจจุบันนี้ ความรู้ทางสถิติและจิตวิทยาช่วยพัฒนาแบบประเมินลักษณะเฉพาะบุคคลให้มีความครอบคลุมและแม่นยำมากขึ้น เผยให้คุณได้นิยามความเป็นตัวคุณได้ชัดขึ้น เช่น แบบประเมิน MBTI, DISC, Facet5 และอื่นๆ อีกมากมาย แต่คงไม่มีความรู้ใดจะทำให้คุณกระจ่างในตนเองได้ทั้งหมด ตราบใดที่คุณไม่ได้ประสานความรู้ภายในมาตรวจสอบความเป็นตัวคุณ และดึงเอาศักยภาพภายในออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ความรู้ภายในนี้มีชื่อเรียกว่า ความตระหนักรู้ในตนเอง โดยแดเนียล โกลแมน นักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาภาวะผู้นำได้เน้นย้ำว่า ความตระหนักรู้ในตนเอง เป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้าใจตนเองและเข้าถึงขุมพลังภายใน ชื่อที่เรียกว่า ความตระหนักรู้ในตนเอง อาจจะทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่า เพียงแต่เข้าใจโลกของตนเอง โดยไม่สนใจใครก็เพียงพอ ความจริงแล้วความตระหนักรู้ในตนเองอาศัยการสะท้อนมุมมอง 2 ส่วนที่สำคัญคือ

1.มุมมองของคนอื่น-ต่อตัวคุณ ทำให้คุณเข้าใจผลของพฤติกรรมของคุณต่อคนใกล้ชิด และทำให้คุณเห็นภาพสะท้อนตัวเองในจุดบอดที่คุณอาจมองไม่เห็น เช่น คุณอาจเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในการงาน แต่คนใกล้ชิดอาจสะท้อนว่าคุณห่างเหินเกินไปเมื่อคุณก้าวเข้าสู่บริบทงานใหม่ที่อาศัยทีม คุณจะได้ตระหนักรู้ว่านิสัยมุ่งงานอาจทำให้ขาดความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับทีม ความตระหนักรู้ตนเองจะทำให้คุณชะลอจังหวะเพื่อรวมทีมเข้ามาในสมการ และใช้ความมุ่งมั่นของคุณนำทีมไปสู่จุดหมายร่วมกัน

2.มุมมองของคุณ-ในการเข้าถึงใจตัวเอง คือการสำรวจค่านิยมที่คุณยึดถือไว้ ยอมรับและเข้าใจตนเองในแบบที่เป็น เช่น คุณอาจพบว่าคุณเป็นคนชอบความมีระบบระเบียบ สังเกตได้จากการจัดเก็บกระเป๋า ตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงาน เมื่อคุณอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีขั้นตอนชัดเจน คุณจะรู้สึกสบายและทำงานได้คล่องตัวเต็มกำลัง คุณอาจเลือกใช้ค่านิยมนี้เป็นจุดแข็งในการจัดระบบการทำงานในองค์กรของคุณ หรือในทางตรงกันข้าม หากคุณจำต้องทำงานที่ไร้โครงสร้างชัดเจน คุณจะเกิดความตระหนักรู้ในตนเองว่า คุณจะต้องเผชิญกับความท้าทายใดบ้าง และหากมีโอกาสคุณก็สามารถเลือกใช้จุดแข็งเป็นผู้สร้างระบบให้งานสำเร็จไปได้ หรือเลือกที่จะยืดหยุ่นเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ตรงหน้า

มุมมองสองส่วนนี้เปรียบเหมือนกระจกสะท้อนกลับให้คุณตระหนักรู้ในตนเอง หรือเรียกได้ว่าคุณมีกระจกพกพาไปทุกที่ แล้วแต่คุณจะเลือกใช้ประโยชน์จากกระจกบานใด กระจกภายนอกสะท้อนกลับกระจกภายใน หรือกระจกภายในสะท้อนความเป็นตัวตน เป็นกระบวนการพัฒนาตนเองแบบเป็นพลวัตที่ยั่งยืน

เมื่อคุณหมั่นเช็ดกระจกภายในให้ใส โดยการหมั่นสังเกตตนเอง และยอมรับความเป็นแบบของคุณ เปิดช่องให้กระจกภายนอกได้ฉายภาพสะท้อนเข้ามาข้างในบ้าง คุณก็จะรู้จักตัวเองมากขึ้น และเลือกใช้ขุมทรัพย์ภายในให้คุ้มในคุณค่าพิเศษของตนเอง อยากชวนคุณมาลองพกกระจกไปด้วยกันในปี 2018 นี้