posttoday

'ทุเรียน' King of Fruits ความหอมหวานกับเรื่องดีๆ ที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้

26 พฤษภาคม 2564

ส่องข้อดีและเรื่องที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับ “ทุเรียน” ราชาแห่งผลไม้ พร้อมไขข้อข้องใจกินแล้วร้อนใน ดับร้อนด้วยอะไร ไปดูกัน

นับเป็นเวลาทองของราชาแห่งผลไม้ (King of Fruits) อย่าง “ทุเรียน” เลยละ สำหรับช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนของทุกปี ด้วยรสชาติที่หอมหวานและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ หลายคนจึงยอมควักเงินในกระเป๋าเพื่อการบริโภค ซึ่งราคาปีนี้ตามท้องตลาดที่พบขณะนี้จะอยู่ที่ราวกิโลกรัมละ 150-200 บาท ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์

ทุเรียนนับเป็นผลไม้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเนื้อทุเรียน 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 150 กิโลแคลอรี อุดมด้วยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน และแร่ธาตุหลายชนิด ซึ่งแร่ธาตุซัลเฟอร์ หรือกำมะถัน ทำให้ทุเรียนมีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ และจากการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา พบว่า เนื้อทุเรียนมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดระดับไขมันในเลือด แต่เป็นเพียงการศึกษาในหลอดทดลองและสัตว์ทดลองเท่านั้น

"วิตามินซี" ในทุเรียน

เห็นทุเรียนเป็นผลไม้หวานๆ แบบนี้ แต่เชื่อหรือไม่ว่าในทุเรียนนี่แหละที่เต็มไปด้วยวิตามินซีสูงมากๆ มีผลต่อการป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ อาทิ โรคหัวใจ โรคที่เกี่ยวกับระบบไหลเวียนของเลือด แนะนำเช่นเคยว่าต้องทานในปริมาณที่พอเหมาะเท่านั้นแล้วจะดีต่อร่างกาย 

ทุเรียนช่วย "ลดระดับไขมัน"

โดยเฉพาะพันธุ์ทุเรียนหมอนทอง ที่มีสารโพลีฟีนอล (Pholyphenols) มีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย และยังมีเส้นใยที่ช่วยลดไขมันได้ดี แต่ต้องมีเงื่อนไขว่าไม่ควรทานในปริมาณที่มากจนเกินไป (ประมาณไม่เกิน 1 พูต่อวันเท่านั้น) สำหรับใครที่กำลังอยู่ในช่วงควบคุมน้ำหนักแต่ก็อดใจไม่ไหวกับทุเรียน ไม่ต้องเครียดกันไป เลือกทานได้ในบางครั้ง เพราะไขมันที่อยู่ในทุเรียนเป็นไขมันที่ไม่ให้โทษต่อร่างกาย วางใจแล้วแอบชิมสักนิดแล้วจะติดใจ

ทุเรียนกับเรื่องการ "เผาผลาญ" และ "ดีท็อกซ์ลำไส้"

ทุเรียนนับว่าเป็นผลไม้ชนิดร้อน เมื่อทานเข้าไปในร่างกายจะเกิดการเผาผลาญด้วยความร้อนจากกำมะถัน โดยต้องเลือกทานทุเรียนเข้าไปในปริมาณที่พอดี (ครั้งละไม่เกิน 1 - 2 พู) ทุเรียนก็จะช่วยเข้าไปเร่งการเผาผลาญภายในร่างกาย  ในทุเรียนอุดมไปด้วยกากใยอาหารซึ่งดีต่อระบบการขับถ่ายในร่างกาย เสมือนยาระบายอ่อนๆ สำหรับใครที่อยากดีท็อกซ์ลำไส้ด้วยทุเรียนก็ไม่ยากเลย เพียงทานทุเรียนในช่วงเช้าไม่เกิน 1 พู ตามด้วยน้ำอุ่น 1 แก้ว จะช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น

'ทุเรียน' King of Fruits ความหอมหวานกับเรื่องดีๆ ที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีฤทธิ์ลดไขมันในเลือดแต่ทุเรียนถือว่าเป็นผลไม้ที่มีแป้งและน้ำตาลสูง จึงควรจำกัดปริมาณในการบริโภค และไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต และโรคความดันโลหิตสูง ทุเรียนไม่ควรรับประทานคู่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากจะทำให้เกิดสารพิษสะสมในร่างกาย เกิดอาการหน้าแดง ชาตามร่างกาย วิงเวียน คลื่นไส้ และทำให้อาเจียนได้

สำหรับสรรพคุณตามตำรายาไทย ระบุว่า เนื้อทุเรียน มีรสหวาน ร้อน ช่วยบรรเทาอาการจุกเสียด บำรุงกำลัง และเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย ตามองค์ความรู้ภูมิปัญญาพื้นบ้านแนะนำว่า หากรับประทานทุเรียนแล้ว ให้รับประทานมังคุดตาม เนื่องจากทุเรียนมีฤทธิ์ร้อน ทำให้ร่างกายร้อนขึ้น และมังคุดเป็นราชินีแห่งผลไม้ (Queen of Fruits) มีฤทธิ์เย็นช่วยลดความร้อนในร่างกาย รับประทานคู่กันช่วยให้ร่างกายเกิดความสมดุล เมื่อบริโภคทุเรียนแล้ว ก็ควรออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ เพื่อเผาผลาญแป้งและน้ำตาล ควบคุมการบริโภคอย่างเคร่งครัด จึงจะทำให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย

ส่วนเรื่องทุเรียนกับหน้าร้อน จริงๆ แล้วไม่ว่าจะหน้าไหนหรือฤดูอะไร การกินทุเรียนและผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงก็ต้องควบคุมปริมาณในการกิน ไม่ควรที่จะกินมากจนเกินไป โดยเฉพาะในหน้าร้อน เราควรกินทุเรียนในปริมาณที่พอดี เพราะไม่อย่างนั้นอาจทำให้เป็นแผลร้อนใน เจ็บคอ ไอ มีไข้ ปวดศีรษะ จุกแน่นท้อง มีขี้ตามาก รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว อึดอัด หน้าแดง ลิ้นแดง ฯลฯ

วิธีจะแก้อาการร้อนในก็ต้องกินอาหารธาตุเย็นลงไปเพื่อขับซัลเฟอร์ออก จะได้ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย เช่น

  • ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ หรือดื่มน้ำผสมเกลือครึ่งช้อนชาดื่มสักแก้ว เพื่อขับสารซัลเฟอร์และช่วยลดอาการร้อนในได้
  • กินผักสดให้มากขึ้น
  • กินผลไม้ที่มีน้ำเยอะ เช่น แตงโม แตงล้าน หรือผลไม้รสเปรี้ยว หรือหวานอมเปรี้ยว เช่น ส้ม สับปะรด มะนาว มังคุด
  • กินอาหารที่มีรสจืดหรือขม เช่น มะระ สะเดา บวบ รากบัว
  • ดื่มน้ำสมุนไพรที่มีฤทธิ์ช่วยแก้ร้อนใน เช่น น้ำเก๊กฮวย น้ำหล่อฮั่งก้วย น้ำรากบัว น้ำมะนาว น้ำใบบัวบก น้ำใบเตย เฉาก๊วย

สำหรับผลไม้ที่ควรกินช่วงหน้าร้อน อาทิ

1. แตงโม มีฤทธิ์เย็น ฉ่ำน้ำ ช่วยบรรเทาความร้อนในร่างกายได้ดี ช่วยให้ร่างกายสดชื่น

2.สับปะรด ผลไม้ฤทธิ์เย็น ฉ่ำน้ำ โดยสับปะรด 100 กรัม มีน้ำมากถึง 86 กรัม และยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินต่าง ๆ ที่ดีต่อร่างกายมากมาย โดยสับปะรดมีสรรพคุณช่วยดับร้อน แก้กระหายได้ดี

3.มะพร้าวจัดเป็นผลไม้มีฤทธิ์เย็น มีสรรพคุณช่วยดับร้อน ช่วยแก้กระหาย ลดไข้ตัวร้อน แก้อาการร้อนใน น้ำมะพร้าวเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติที่ดื่มแล้วช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นได้ดี 

4.แคนตาลูป ผลไม้ฤทธิ์เย็น อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ มากมาย โดยแคนตาลูปมีสรรพคุณช่วยดับกระหายคลายร้อน ลดไข้

5.สาลี่ผลไม้ฉ่ำน้ำมีฤทธิ์เย็น มีสรรพคุณลดความร้อนและดับพิษร้อนในร่างกาย

6.มะม่วง ช่วยเพิ่มความสดชื่น คลายร้อน อีกทั้งยังมีสารอาหารและประโยชน์มากมาย แถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย

7.มังคุด ราชินีแห่งผลไม้ ที่มักจะมาคู่กับทุเรียน ราชาแห่งผลไม้ ด้วยที่มีสรรพคุณดับร้อนจากทุเรียน และมีน้ำในตัวสูง ช่วยให้คลายร้อนไปได้มากทีเดียว

8. มะละกอ กินดิบในส้มตำก็แซ่บ หรือจะกินสุกเป็นผลไม้ล้างปากก็ชื่นใจ เพราะความหวานจากผลสุกช่วยให้ร่างกายได้รับความสดชื่น แถมมีฤทธิ์ช่วยระบายอีกต่างหาก