posttoday

ดอกไม้ คิดจะปลูก ปลูกไปเถอะบนโลกใบนี้

22 เมษายน 2560

เมื่อปณิธานตัวเองมาตั้งแต่ยังเยาว์ว่าอยากช่วยเหลือผู้อื่นที่ด้อยโอกาสกว่า ทำให้ภาพที่ผู้คนซึ่งรู้จักกันเป็นการส่วนตัวกับ อรทัย มณีประสพโชค

โดย...มัลลิกา

 เมื่อปณิธานตัวเองมาตั้งแต่ยังเยาว์ว่าอยากช่วยเหลือผู้อื่นที่ด้อยโอกาสกว่า ทำให้ภาพที่ผู้คนซึ่งรู้จักกันเป็นการส่วนตัวกับ อรทัย มณีประสพโชค คือการใช้ชีวิตอยู่กับการทุ่มเทเพื่อผู้อื่น ไม่ว่าจะทำงาน ท่องเที่ยว ทุกจังหวะการใช้ชีวิตของเธอนำมาซึ่งประโยชน์สุขต่อผู้อื่นด้วยเสมอ

 ส่วนผู้คนที่ไม่ได้เคยรู้จักมักจี่อรทัยมาก่อน สิ่งที่เธอกระทำตั้งแต่วัยเยาว์จนกระทั่งมีครอบครัว มีสามี และลูก 2 คน อาจจะเกิดคำถามว่าเพราะเหตุใด? เธอถึงมีจิตอาสา มีจิตใจที่เกื้อกูลต่อผู้อื่น ซึ่งถ้าให้เธอตอบเป็นถ้อยคำ ง่ายๆ สั้นๆ แค่นี้เอง

 “ทำดีทำไมต้องคิด” แต่หากจะพิจารณาจากการกระทำของเธอแล้ว เวลานับสิบๆ ปีนั้น 'เธอช่างมีความสุข' นั้นก็เพียงพอแล้วนี่นา

 “เกิดในครอบครัวหย่าร้าง แม่ดูแลลูก 6 คน ต้องต่อสู้ชีวิตแบบคนไม่มีความรู้ ได้เห็นความเศร้า ลำบากของแม่ ทำให้เห็นใจคนที่ไม่มีความรู้ ไม่มีเงิน ไม่มีพลัง หรือกำลังใจที่จะฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ทำให้ซึมซับและบอกกับตัวเองว่า ฉันจะไม่ยอมจน และถ้าฉันมี ฉันจะช่วยเหลือเด็กๆ ให้มีพลังต่อสู้แบบฉัน จึงต่อสู้จนมีวันนี้ ทำมาทุกงาน แต่ระหว่างนั้นก็ช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่จะทำได้ พาคนแก่ข้ามถนน สอนหนังสือเด็ก เท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้”

 อรทัยเกษียณตัวเองเมื่อวัย 45 ปี นับจากวันนั้นก็สิบกว่าปีแล้ว แต่เธอยังทำงานอยู่ ทว่างานที่ทำคืองานช่วยเหลือผู้อื่น เป็นจิตอาสาในหลายๆ โครงการ แต่งานประจำของเธอเลยก็คือการสอนหนังสือเด็กแถวละแวกบ้าน

 “สังคมการศึกษาบ้านเราอ่อนแอมาก รัฐสนับสนุนมีหนังสือดีๆ หายากมาให้อ่าน แต่เด็กอ่านหนังสือไม่ได้จะมีประโยชน์อะไร อย่างภาษาอังกฤษเด็กไทยอ่อนมาก เราไปสอนพ่อแม่เองยังบอกเลยว่า จะสอนไปทำไม เดี๋ยวลูกจบมาก็ไปปลูกผักปลูกหญ้าไม่ได้ใช้หรอก มันเป็นทั้งระบบเลย”

 เมื่อก่อนอรทัยสอนหนังสือเด็กที่โรงเรียนวัดลำกระดาน เขตคลองสามวา สอนอยู่ 4 ปี สัปดาห์ละ 2 วัน

 “ไม่ได้จบครูมา เรียนโฆษณาประชาสัมพันธ์จบปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง และเรียนคอร์สเอ็มบีเอ เกี่ยวกับธุรกิจกจอสังหาริมทรัพย์ ช่วยแฟนดูแลการเงิน อยากสอนหนังสือเด็กก็เดินเข้าไปขอครูใหญ่ สอนฟรีเหมือนอาสาสมัคร สอนเด็กชั้น ป.5 ป.6 สอน 1 คนต่อเด็ก  45 คน ก็มาคิดว่าเราทำแบบนี้ไม่ได้ประโยชน์ เราก็เลยค่อยๆ ฟีดออกมา มาสอนเฉพาะเด็กที่สนใจจริงๆ ไม่กี่คน

 "อย่างตอนนี้ทำงานจิตอาสาอยู่โรงเรียนเตรียมอุดมลำลูกกา พอเลิกเรียนรับเด็ก 4-5 คน ไปสอนหนังสือต่อที่วัดธัญญะผล ลำลูกกาคลอง 8 เด็กสมัครใจมาเรียน แล้วมีเด็กหนึ่งคนที่เราช่วยดูแลตั้งแต่ชั้น ป.3 ตอนนี้เขาอยู่ม.2 แล้ว ที่บ้านยากจน เมื่อก่อนสอนทุกวันอังคารกับพฤหัสบดี ตอนนี้สอนเขาเฉพาะวันศุกร์

 อรทัยบอกว่า เธอไม่ได้สอนหนังสือแค่เด็ก แต่เจาะลึกไปถึงครอบครัวของเขาว่ามีปัญหาอะไรยังไง

 "เราอยากผลักดันเขา วัชพืชเยอะ ดอกไม้จะโผล่ขึ้นมาก็ยาก สิ่งแวดล้อมเขาไม่ดี แต่เขาสามารถเลือกที่จะเป็นดอกไม้หรือวัชพืชได้ เราเข้าไปช่วยเปิดโอกาสได้แค่นี้ แต่เขาก็ต้องช่วยตัวเองด้วย ต้องเลือกให้ตัวเองอยากเป็นอะไร"

 เธอยังบอกว่าที่ค่อนข้างสนใจให้ความช่วยเหลือเด็ก เพราะเด็กคืออนาคตของชาติ

 "ถ้าเราปลูกวันนี้ภายหน้าเขาจะเป็นต้นไม้ใหญ่ ร่มรื่น สวยงาม ถ้าเราไม่สร้างรากฐานตอนนี้ เด็กเมื่อโตแล้วดัดลำบาก เราทำตรงนี้ไม่ได้ลำบากอะไร สอนเด็กหนึ่งคน หนึ่งชั่วโมงต่อวัน แต่วันข้างหน้าเขาจะแผ่ออกลูกออกหลาน ประเทศไทยเราก็จะมีต้นไม้ที่สวยงาม”

 นอกจากงานสอนหนังสือแล้ว เป้าหมายชีวิตของอรทัยคือท่องเที่ยว เติมเต็มความสุขให้ชีวิต หากระหว่างการเดินทางและหลายจุดหมายนั้น คือการช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากไร้ไปด้วย ไม่ว่าจะบนผืนแผ่นดินไทยหรือต่างชาติ

 “ตอนอายุ 35-36 ปี เรามีลูก 2 คน แล้วเราทำงานหนักมาก เปิดบริษัทเอง ผลิตยารักษาสัตว์ นอนตี 2 ตื่นเช้า ต้องติดลำโพงที่ห้องลูก ลูกร้องรีบวิ่ง ชีวิตช่วงนั้นหนักมาก มีสาขาอยู่เกือบ 40 แห่ง ก็เลยคิดกันกับแฟนว่าถ้าอายุ 40 เขา 45 เราจะหยุดทำงาน

 "อันดับแรก เราต้องพอ ไม่ต้องมีบ้านหลังละ 10 ล้าน เราก็อยู่ได้ คิดว่าความพอดีของชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน จากนั้นเราก็เที่ยวไปทำบุญไป ขึ้นดอยไปสร้างห้องน้ำ ตอนนี้ไม่ทำอะไรกันเลย เที่ยวกับทำบุญ ใครไปเจออะไรดีๆ ก็จะมาเล่า แฟนออกไปทำเกี่ยวกับมูลนิธิ เราไปสอนหนังสือ

 "ดอกไม้คิดจะปลูก ปลูกไปเถอะในโลกนี้ ไม่ต้องจำกัดว่าจะต้องทำอะไร เจออะไรเราก็ทำไปหมด เจอสัตว์ป่วยให้ลูกไปฉีดยาให้แมว ช่วยกันทำคนละนิดคนละหน่อย เวลาไปเที่ยวเราพกสมุด ดินสอ ยางลบไปด้วยเสมอเอาไปแจกเด็กๆ เป็นของคุณค่าทางใจ แจกขนมผู้ใหญ่ เราทำเพื่อให้รู้ว่าโลกมันไม่ได้โหดร้าย เราขึ้นดอยทุกปี น้ำ ไฟ ไม่มี อาหารการกินก็แย่ เราไปเริ่มกินอยู่กับเขา ก็ทำเรื่อยๆ แรกๆ ไปที่ยวเยี่ยมเขาเอาของไปให้ พอเราทำมีความสัมพันธ์ก็สอนหนังสือ ต่อไปจัดปีใหม่ เขาของขวัญไปแจก ไปอมก๋อย ภูเขาทุกลูกบนอมก๋อยเราไป ไปมา 10 ปีเต็มแล้ว”

 แต่ละคนออกแบบชีวิตแตกต่างกันไป แต่สำหรับอรทัย ถึงเลือกที่จะใช้ชีวิตไปพร้อมการแบ่งปันความสุข

 “เปรียบความสุขได้กินของโปรด ความสุขที่ 1 คือ ได้กินของถูกปาก ความสุขที่ 2 คือ เห็นคนที่เรารักได้กินของที่เราแบ่งปันให้อย่างมีความสุข และความสุขที่ 3 คือได้เห็นคนอื่นแบ่งปันให้คนอื่นกินอย่างอร่อย ผู้มีจิตอาสาเมื่อได้ทำสม่ำเสมอจะรู้สึกถึงความสุขที่ 1 ที่ 2 ละเอียดขึ้น แม้จะไม่ได้หวังผลตอบแทนใดๆ เราเริ่มกันจากจิตที่เป็นกุศลต่อตัวเองก่อน โดยเลือกงานใกล้ตัวในแบบของเรา สังคมงดงามเริ่มจากใจของเราเป็นกุศลจิตอาสา ไม่ต้องกังวลว่าจะทำได้ไม่ดี ทำไปกลัวคนอื่นมอง ทำแล้วจะมีผลอะไรตามมา"

 อรทัยส่งท้ายแนวความคิดจิตอาสาของเธอว่า

 "บอกตัวเองเราก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ อยากเห็นโลกสวยงามไหม รอให้ตัวเองมีก่อน รวยก่อน ไม่มีวันที่คุณจะพร้อมหรอกค่ะ เพราะมนุษย์มีกิเลสอยู่ตลอด แค่คุณกล้าก้าวออกมาแค่นั้นเอง แล้วคุณจะพบความสุขที่แท้จริง ไม่ได้เกิดจากการ 'ได้' แต่เป็นสุขที่เกิดจากการ 'ให้' สุขที่คุณต้องค้นพบด้วยตัวเอง ก่อนที่คุณจะหมดเวลาและลมหายใจ”