posttoday

เฟิร์น ไมค์ทองคำ 4 ในวันที่พ่อไม่อยู่

11 กันยายน 2559

สาวสุราษฎร์ฯ เจ้าของบทเพลง “ขอสาปให้คิดถึง” เพลงแรกในชีวิตของ ชนิสรา เพชรคง หรือ เฟิร์น ไมค์ทองคำ 4

โดย...กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย ภาพ ภัทรชัย ปรีชาพานิช

สาวสุราษฎร์ฯ เจ้าของบทเพลง “ขอสาปให้คิดถึง” เพลงแรกในชีวิตของ ชนิสรา เพชรคง หรือ เฟิร์น ไมค์ทองคำ 4 ที่ได้ถ่ายทอดความคิดถึงส่งไปถึงคนบนฟ้า ถึงพ่อที่จากไปในวันที่ความฝันของลูกเป็นจริง

เด็กคาเฟ่

เธอมีชีวิตอยู่กับพ่อตั้งแต่ลืมตาดูโลก ดังคำที่พ่อกับแม่เล่าตรงกันว่า ตั้งแต่เกิดมาแม่ไม่มีสิทธิจับตัวลูกสาวเลย เพราะพ่อเป็นคนดูแลเองทุกอย่างแม้กระทั่งอาบน้ำ เลี้ยงดูมาอย่างไข่ในหินในฐานะลูกสาวที่คนเจ้าชู้อย่างพ่อต้องหวงมากเป็นพิเศษ

“หนูโตมากับพ่อ ความสัมพันธ์กับพ่อมีมากกว่าแม่” เธอกล่าว อย่างเรื่องนิสัยรักการร้องเพลงก็ติดมาจากพ่อ “พ่อหนูเป็นนักร้องคาเฟ่ หนูก็เห็นภาพทุกวันว่าพ่อซ้อมเพลง ร้องเพลงบนเวที เลยเข้าไปพูดกับท่านว่า อยากร้องเพลงเป็น”

เฟิร์น ไมค์ทองคำ 4 ในวันที่พ่อไม่อยู่

 

สิ่งที่พ่อสอนเฟิร์นมาตลอดคือ ถ้าอยากเป็นนักร้อง อย่าขี้เกียจซ้อม แต่ด้วยความไร้เดียงสาของเด็ก คิดเพียงแค่อยากใส่ชุดสวยๆ ไปยืนอยู่บนเวที “เวทีแรกที่ขึ้นคือเวทีคาเฟ่ที่พ่อทำงานอยู่ จากนั้นก็ไปร้องเพลงทุกวันศุกร์และเสาร์ ช่วยพ่อหาเงินได้เยอะมาก”

เด็กน้อยวัย 7 ขวบ ภูมิใจที่ได้แบ่งเบาภาระครอบครัว จนกระทั่งอายุ 12 ปี เธอบอกพ่อให้เลิกทำงานและตั้งมั่นว่า “หนูจะดูแลพ่อเอง”

เฟิร์นคลุกคลีกับคาเฟ่ตั้งแต่อนุบาล 1 ซึ่งโชคดีที่คาเฟ่ได้ปลูกฝังแต่สิ่งดีๆ ในตัวเธอ ทั้งความกล้าแสดงออก การร้องเพลง การเต้น ความกตัญญู และสอนให้รู้คุณค่าของเงิน

เฟิร์น ไมค์ทองคำ 4 ในวันที่พ่อไม่อยู่

 

โดนของ (ความเชื่อส่วนบุคคล)

เมื่อพ่อทำงานเป็นนักร้องคาเฟ่ได้ 3 ปี ท่านก็เกิดอาการเหมือนคนโดนของ (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ) เธออธิบายอาการว่าพ่อนอนติดเตียง เดินไม่ได้ จะร้องเจ็บปวดโหยหวนทุกวันอังคาร วันเสาร์ วันพระ และไม่สามารถอยู่บ้านตัวเองได้ พ่อแม่ลูกจึงต้องไปอยู่บ้านเช่าเล็กๆ

“เงินที่หนูเก็บมาได้ ทอง แหวน ที่พ่อเคยให้แม่ต้องเอาไปขายหมด เพื่อนำเงินมารักษาพ่อ หมอไหนดีไปหมด ทั้งหมอโรงพยาบาล หมอไสยศาสตร์ รักษาหมดเงินไปเท่าไหร่ก็ยอม ขอให้พ่อหาย แต่พ่อก็ไม่หาย” เธอเสียงเครือ

หมอแผนปัจจุบันอธิบายว่า พ่อเป็นโรคกระดูกทับเส้น อาจเป็นเพราะท่านทำงานหนักทั้งวัน เช้าช่วยแม่ขายขนมหวาน กลางวันขับมอเตอร์ไซค์วิน และกลางคืนไปร้องเพลง ซึ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์เงินเก็บของเฟิร์นก็เริ่มร่อยหรอ แต่ค่าใช้จ่ายกลับมากขึ้นทั้งค่ากินอยู่ ค่าเช่าบ้าน และค่ารักษาพยาบาล ทำให้เธอต้องไปร้องเพลงที่คาเฟ่เกือบทุกวัน

เฟิร์น ไมค์ทองคำ 4 ในวันที่พ่อไม่อยู่

 

สุดท้ายเฟิร์นพาพ่อไปหาพระ พระบอกว่าพ่อโดนของเขมร จึงต้องทำพิธีไล่ของที่บ้าน และให้กินยาต้มประมาณ 3 สัปดาห์ อาการของพ่อก็ดีขึ้นเรื่อยๆ บวกกับการไปอาบน้ำมนต์ทุก 7 วัน พ่อกลับมาปกติทุกอย่าง ไม่ร้องเจ็บปวด เดินได้ แต่ทั้งครอบครัวต้องกลับมานับหนึ่งใหม่ เพราะพ่อแม่ลูกไม่มีเงินเหลือสักบาทเดียว

เริ่มต้นใหม่

หลังกฎหมายประกาศว่าเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ห้ามเข้าสถานบันเทิง เธอก็ไม่มีสิทธิร้องเพลงในคาเฟ่อีก จึงกลับไปเรียนหนังสือ ส่วนพ่อขับมอเตอร์ไซค์วิน และแม่ขายขนมหวานเหมือนเดิม เมื่อพ่อกับลูกสาวไม่ได้ร้องเพลงเป็นอาชีพ เฟิร์นจึงชวนพ่อเดินสายประกวดถึงไหนถึงกันขอแค่ให้ได้ร้องเพลง

“เวทีเล็กเวทีใหญ่ หนูกับพ่อขับมอเตอร์ไซค์ไปแข่งทั่วสุราษฎร์ธานี หนูนั่งหน้า แม่นั่งหลัง พ่อขับ แม่หิ้วชุดไป พอไปประกวดก็ได้รางวัลมาทุกเวที ถ้าเป็นในบ้านหนูจะได้ที่หนึ่ง แต่ถ้านอกบ้านอย่างชุมพร นครศรีธรรมราช ก็จะติดหนึ่งในสาม ใช้วิธีนี้แหละหาเงินและฝึกฝนร้องเพลง”

เฟิร์น ไมค์ทองคำ 4 ในวันที่พ่อไม่อยู่

 

นอกจากนี้ พ่อยังเป็นโค้ชส่วนตัวที่คอยสอนและสร้างความมั่นใจให้เธอก่อนขึ้นเวทีทุกครั้ง เฟิร์นเคยถามพ่อว่า ไปร่ำเรียนวิชาร้องเพลงมาจากไหน ท่านตอบว่าดูจากรายการประกวดร้องเพลง

ขัดแย้ง

เมื่อเฟิร์นเรียนชั้นมัธยมปลาย ได้กลับไปทำงานร้องเพลงกลางคืนอีกครั้งแบบพนักงานประจำมีเงินเดือน โดยต้องไปทำงานทุกวันช่วง 4 ทุ่มถึงตี 1 แล้วก็ต้องตื่นเช้าไปเรียน

“ช่วงแรกที่ทำรู้สึกไม่ไหว เพลียมาก ชีวิตมันเหนื่อยมาก แต่พอหันไปเห็นหน้าพ่อกับแม่ ก็บอกกับตัวเองว่า เราไม่ได้ช่วยท่านเต็มที่ แต่อย่างน้อยช่วยตัวเองให้รอดก็พอ ท่านจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” เธอกล่าว

เฟิร์น ไมค์ทองคำ 4 ในวันที่พ่อไม่อยู่

 

ชาวสุราษฎร์ฯ รู้จักเฟิร์นในนาม สร้อยใหม่ (ชื่อเดิม) จากเวทีงานวัด งานจังหวัด แต่หลังจากที่ชนะรายการ กิ๊กดู๋สงครามเพลง ได้เงิน 1 ล้านบาท (9 แสนบาท นำไปพัฒนาจังหวัด อีก 1 แสนบาทเป็นรางวัล) คนที่เป็นแฟนรายการทั่วประเทศจึงได้รู้จักเธอ

แต่ถึงแม้ว่างานจะรุ่ง แต่เรื่องรักเรื่องครอบครัวไม่รุ่งตาม เพราะได้ทะเลาะกับพ่อเรื่องแฟนที่คบมานาน 3 ปี “พ่อหนูรับไม่ได้ที่มีแฟนเป็นทอม” เธอเผย “ตอนนั้นหนูรักแบบไม่ลืมหูลืมตา รักจนทะเลาะกับพ่อทั้งที่ไม่เคยทะเลาะกันมาก่อน จากที่เมื่อก่อนอะไรๆ ก็พ่อ แต่กลายเป็นไม่เอาพ่อเลย จากคนที่รักครอบครัวมากกลายเป็นอีกคน จนในที่สุดพ่อยื่นคำขาดว่าถ้าจะคบกับแฟนก็ตัดขาดพ่อลูกไปเลย”

คำพูดของพ่อทำให้เฟิร์นร้องไห้ 3 วัน 3 คืน ซึ่งเป็นเวลาให้เธอได้ไตร่ตรอง จนสุดท้ายเธอตัดสินใจเลิกคบกับแฟนและกลับมาเป็นลูกคนเดิม

สัมพันธ์พ่อลูก

หลังจากผ่านพ้นเรื่องความรัก เธอดูท่าจะไม่รับอะไรอีกรวมถึงเรื่องร้องเพลง ซึ่งช่วงนั้นตรงกับการเปิดออดิชั่นรายการไมค์ทองคำ 4 ที่เธอแทบจะไม่สนใจ

“หนูเป็นนักร้องในผับหาเงินได้สองสามหมื่นก็พอแล้ว จะให้ไปตามหาความฝันอีก มันเหนื่อยเพราะหนูตามหามานานแล้ว แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเสียที คงไม่มีแมวมอง หรือใครมาสนใจชวนเข้าวงการ”

เฟิร์น ไมค์ทองคำ 4 ในวันที่พ่อไม่อยู่

 

เฟิร์นและครอบครัวก็เริ่มมีปัญหาทางการเงิน เพราะเงินที่ได้จากการร้องเพลงเหลือน้อยลง แถมมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นจากการซื้อรถ พ่อเปลี่ยนอาชีพเป็นยาม ยืนทำงานตั้งแต่แปดโมงเช้ากลับบ้านห้าทุ่ม เพื่อรายได้ที่มากกว่าขับมอเตอร์ไซค์วิน

“ตอนนั้นไม่สนใจเรื่องร้องเพลงเพราะมุ่งแต่เรื่องเรียนอย่างเดียว พ่อเลยบอกว่าถ้าไม่ลงแข่ง พ่อจะไปแข่งเอง วันที่ไปออดิชั่นเลยชวนหนูไปเป็นเพื่อน เดินจูงมือกันไปสองคน สรุปก็ได้ออดิชั่นพร้อมกัน”

ช่วงนั้นอยู่ในช่วงต้นเดือน ส.ค. ทั้งคู่กลับบ้านรอฟังคำตัดสิน ทว่าเกิดเรื่องไม่คาดคิด ดวงตาของเธอเริ่มเอ่อด้วยน้ำตา

ลาจาก

เล่าย้อนกลับไปถึงวันที่ 5 ก.ย. 2558 วันนั้นสุราษฎร์ฯ ฝนตกฟ้าร้องแรงอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก่อนออกไปร้องเพลงตอนกลางคืน พ่อยังนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมและบอกให้เธอเดินทางปลอดภัยเช่นทุกวัน จนเวลา 5 ทุ่มเธอกำลังร้องเพลงบนเวที ได้รับสายจากแม่ว่าพ่ออยู่โรงพยาบาล

“พ่อเข้าโรงพยาบาลบ่อย ปวดหัว เป็นไข้บ่อย หนูเลยไม่ได้เอะใจอะไร ยังขึ้นไปร้องเพลงต่อ จนเพื่อนตะโกนขึ้นมาบอกว่า พ่อเอ็งไม่ไหวแล้ว เท่านั้นแหละ หนูวางไมค์กลางเพลงรีบวิ่งไปโรงพยาบาลทันที” เธอเล่า

“พอไปถึงหนูเห็นพ่อนอนอยู่บนเตียง อาเจียนออกหูออกจมูก แต่ตอนนั้นหมอยังไม่เข้าเวร หนูโวยวายใส่ ถามว่าทำไมหมอยังไม่มาพ่อหนูกำลังจะตาย ตอนนั้นซีกขวาของพ่อขยับไม่ได้ พูดไม่ได้ ได้จับมือกันแป๊บเดียวก็สลบไปหนึ่งคืนเต็ม”

พ่อต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อโอกาสครึ่งต่อครึ่ง ผลออกมาคือพ่อก็ยังขยับตัวไม่ได้ ลืมตาไม่ได้ และยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจจนกระทั่งเฮือกสุดท้าย “พ่อหายใจเองได้ หนูดีใจมากรีบไปบอกนางพยาบาล แต่นั่นเป็นแค่สัญญาณ ตอนเช้าพ่อก็จากหนูไป” น้ำตาเธอไหลเป็นทาง

3 วันที่พ่อเข้าโรงพยาบาล เธอทำใจไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น พ่อยังไม่สั่งเสีย พ่อยังไม่ได้เป็นนักร้องมีชื่อเสียงอย่างที่ตั้งใจไว้ หลายอย่างประดังเข้ามาจนวันสุดท้ายที่ส่งพ่อขึ้นสวรรค์ การเปลี่ยนแปลงอีกอย่างก็ได้เริ่มต้นขึ้น

วันที่พ่อไม่อยู่

สายจากไมค์ทองคำโทรหาเธอให้ไปแข่งขันรอบ 60 คน แต่เสียดายที่พ่อผู้ดึงเธอไปออดิชั่นไม่ได้รับรู้ว่าได้ผ่านเข้ารอบไปแข่งต่อกับลูก “หนูไม่อยากไปแข่งแล้ว ไม่มีกำลังใจ ไม่รู้จะร้องอะไร ไม่รู้จะร้องเพื่อใคร เลยบอกกับแม่ว่าไม่อยากไปแข่ง แต่แม่ได้เตือนสติถึงคำพูดตัวเองก็เคยบอกพ่อไปว่า สักวันจะเป็นนักร้องที่ดังที่สุดให้พ่อเห็น”

เธอจึงนำเงินก้อนสุดท้ายส่งตัวเองไปแข่งไมค์ทองคำที่กรุงเทพฯ ผ่านเข้ารอบลึกขึ้นๆ แต่ความสำเร็จที่มีไม่ใช่ความดีใจร้อยเปอร์เซ็นต์ “ชัยชนะเวทีนี้ไม่เหมือนเวทีเล็กๆ ที่เคยประกวด เพราะข้างเวทีไม่มีพ่อ พอลงมาจากเวทีพ่อจะยืนรออยู่ เข้ามากอด เข้ามาหอมแก้ม แต่วันนี้ไม่มีพ่อแล้ว ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม”

สุดท้ายเฟิร์นคว้าตำแหน่งที่ 3 ในรายการไมค์ทองคำ 4 พร้อมเงิน 5 หมื่นบาท และรถยนต์ 1 คัน แต่รางวัลไม่ได้ทำให้เธอดีใจ แต่กลับนั่งร้องไห้ฟูมฟายด้วยความคิดถึงพ่อ เพราะเฟิร์นตามหาฝันมากว่า 20 ปี แต่กลับมาสำเร็จในวันที่เธอไม่มีพ่ออยู่ข้างๆ “หนูอยากกอดพ่อ อยากให้พ่ออยู่ตรงนี้ แต่ทำได้แค่กอดรูปพ่อไว้แน่นๆ และคุยกับพ่อในฝัน” เธอร้องไห้