ดร.โด่ง องอาจ...คนบันเทิงผู้รักการเรียน
คุณคิดว่า คนในวงการบันเทิงสามารถทำงานไปด้วย และเรียนไปด้วย จนจบปริญญาเอกได้ไหม คำตอบคือ “ได้” เพราะ “โด่งองอาจ สิงห์ลำพอง”
โดย...ตุลย์ จตุรภัทร ภาพ ทวีชัย ธวัชปกรณ์
คุณคิดว่า คนในวงการบันเทิงสามารถทำงานไปด้วย และเรียนไปด้วย จนจบปริญญาเอกได้ไหม คำตอบคือ “ได้” เพราะ “โด่งองอาจ สิงห์ลำพอง” รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานสถานีโทรทัศน์ ช่อง 8 และซัน แชนแนล บริษัท อาร์เอส ทำให้ใครต่อใครได้เห็นแล้วว่า เขาสามารถเรียนจบปริญญาเอก ดุษฎีบัณฑิต สาขาสื่อสารมวลชน คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ภายใน 4 ปี ซึ่งนี่คือความยากและหินที่น่าเอามาเป็นไอดอลในดวงใจ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เราๆ ท่านๆ ที่คอยแต่คิดว่า งานเยอะ ไม่มีเวลา ยิ่งเรียนเอก ยิ่งยากและไม่มีเวลาเข้าไปใหญ่ ขอบอกว่า...คำว่าไม่มีเวลา ใช้กับผู้ชายคนนี้ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว หากคุณรักที่จะเรียน
“ผมเป็นคนรักการเรียนครับ และผมก็เรียนด้านนิเทศศาสตร์มาโดยตลอด ตั้งแต่ ปริญญาตรี โท เอก ถามว่าทำไมผมถึงเป็นคนที่รักการเรียน คงเป็นเพราะเป้าหมายของชีวิต คือ การเป็นอาจารย์ แต่สิ่งที่ไม่คิดจะได้เป็น คือการได้เข้ามาในวงการบันเทิง”
องอาจ เผยว่า การเข้ามาในวงการบันเทิงของเขา เข้ามาหลังจากเรียนจบปริญญาตรี และเขียนใบสมัครงานที่อาร์เอส ซึ่งเป็นการเขียนใบสมัครงานครั้งแรกและครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นก็ไม่ได้ไปเขียนใบสมัครงานไว้ที่ไหนอีกเลย
“ก็ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย ที่เรียนจบปุ๊บ ก็ได้เข้ามาทำงานที่อาร์เอส ปัจจุบันก็ยังทำงานที่อาร์เอส เป็นคนเขียนใบสมัครใบเดียว ครั้งเดียว และทำมาที่นี่ตลอด 20 ปี ในหัวก็ไม่ได้คิดจะไปไหน ผมรู้สึกว่าการเติบโตไปกับองค์กรทำให้เราได้พัฒนาตัวเอง ได้เรียนรู้จากสายมิวสิกวิดีโอ มาเป็นสายภาพยนตร์ จากนั้นมาเป็นสายละคร สายโปรดักชัน เฮาส์ จนมาเป็นสายโทรทัศน์ดาวเทียมอยู่ในขณะนี้”
ในระหว่างที่ทำงาน องอาจก็มีความคิดที่จะเรียนต่ออยู่ตลอดเวลา จนเขาตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“ตอนเรียนโทที่จุฬาฯ เวลาเรียนกับเวลาทำงานมันมีชนกันแน่นอน แต่เพราะความที่ผมเป็นคนที่รักการเรียน เลยทำให้ผมเป็นคนที่ไม่เคยขาดเรียน แต่เลือกที่จะจัดการเวลาของตัวเองให้เข้าที่เข้าทางให้มากที่สุด แต่ละวันจะวางแผนเวลาการทำงาน เซตงานอะไรให้เรียบร้อยแล้วก็จะแวบไปเรียน เมื่อเรียนเสร็จก็กลับมาทำงานต่อ”
หลังจากเรียนจบปริญญาโท ในหัวของเขาก็ยังมีความต้องการที่จะเรียนต่อในระดับปริญญาเอก ถึงแม้เขาจะรู้ทั้งรู้ว่าการเรียนปริญญาเอกต้องใช้เวลา ใช้พละกำลังกายกำลังใจขั้นเทพ แต่เมื่อเขารู้สึกว่านี่คือหนทางของเขา เขาจึงตัดสินใจเรียนโดยไม่ลังเลใจ
“เมื่อรู้ว่านี่คือหนทางของผม ผมก็เลยไปสมัคร สมัครเสร็จก็เตรียมตัวสอบ เมื่อไปสอบ ผลออกมาปรากฏว่าสอบได้ ก็ดีใจนะ เพราะปริญญาเอก เขาไม่ได้รับใครมาเรียนพร่ำเพรื่อ ในหนึ่งรุ่นเขาจะรับได้เต็มที่เพียง 5 คนเท่านั้น พอผมได้เข้าไปเรียนคนที่ไปเรียนส่วนใหญ่เป็นอาจารย์ประจำตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่มีตำแหน่ง รศ. ผศ. กันหมด แต่ผมก็สนุกที่จะเรียนรู้จากคนเหล่านี้นะ ผมคิดว่า การที่คนเรียนมาจากสายบันเทิงเต็มตัว กับสาววิชาการจ๋ามาเจอกัน มันทำให้บรรยากาศการเรียนตื่นตาตื่นใจ และสนุก ไม่เคร่งเครียด ซึ่งตลอดระเวลา 4 ปีที่ผมเรียนและทำดุษฎีนิพนธ์ ผมก็พยายามพิสูจน์ให้อาจารย์เห็นว่าเราทำได้ และสามารถเรียนจบได้”
องอาจเล่าอย่างสนุกสนานว่า ชีวิตของเขาในช่วงนั้นสมบุกสมบันมาก จนบางครั้งต้องมานั่งถามตัวเองว่า ทำอย่างนี้แล้วคุ้มมั้ย
“เวลาไปเรียน ผมต้องนั่งมอเตอร์ไซค์จากลาดพร้าวไปท่าพระจันทร์ ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง พอไปเรียน ตั้งหน้าตั้งตาเรียน ตัดทุกอย่างออกจากหัวสมอง เรียนเสร็จแล้วก็นั่งมอเตอร์ไซค์กลับมาทำงานต่อ เป็นอย่างนี้ตลอด อันตรายมั้ย ก็รู้ว่าอันตราย แต่เรามีความตั้งใจที่จะใช้เวลาเพื่องานกับเรียนให้คุ้มค่าที่สุด เราก็ยอม”
แม้กระทั่งหลังจากเลิกงาน กลับมาบ้านองอาจก็ยังทุ่มเทเพื่อการเรียน การทำรายงาน ชนิดที่เรียกได้ว่า นอนหลับคาคอมพิวเตอร์กันเลยทีเดียว
“เวลากลับบ้าน ผมต้องคอยทำรายงานส่งอาจารย์ตลอด ทำจนหลับหน้าคอมพ์ทุกวันเป็นอย่างนี้จนเรียนจบ”
ด้วยความเป็นคนรักการเรียน องอาจเผยว่า การเรียนสอนให้เขาได้เรียนรู้ในหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง ยิ่งเรียนในระดับสูงๆ ยิ่งได้เรียนรู้วิธีการเรียนที่ไม่ใช่แค่เรื่องของความจำในตำรา แต่เป็นการเรียนรู้ด้วยการแสวงหาเพื่อพบเจอคำตอบด้วยตัวเอง
“ทุกวันนี้ก็ยังอยากเรียนนะ อยากกลับไปเรียนปริญญาโทในสาขาวิชาที่ผมสนใจอีกสักรอบ แต่ก็คิดๆ ว่า หรือเราจะเขียนตำราเรียนดี เอาความรู้ที่เราได้ร่ำเรียนมา มาทำเป็นตำราที่ก่อให้เกิดประโยชน์”
ปัจจุบัน นอกจากองอาจจะทำงานด้านสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม เขายังใช้เวลาในวันเสาร์อาทิตย์ สอนหนังสือทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทตามสถาบันการศึกษาต่างๆ ซึ่งเขาก็ได้เดินจนมาถึงจุดมุ่งหมายที่เขาตั้งใจไว้แต่แรกเริ่ม และก้าวต่อไปของเขาคงเป็นก้าวเดินที่หนักแน่น และมั่นคงมากขึ้นในฐานะผู้ที่รักการเรียนตลอดทั้งชีวิต นั่นคือการเรียนรู้โลกใบเล็กๆ ใบนี้
นี่แหละ ผู้ชายที่ชื่อ โด่งองอาจ สิงห์ลำพอง
องอาจเคยเป็นผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง ฝันติดไฟหัวใจติดดิน (ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง, นิ้ง กุลสตรี) แตก 4 รัก โลภ โกรธ เลว (เต๋า สมชาย, นุก สุทธิดา) ชู้ (แอนดี้ วัชระ, เฮเลน นิมา) อีกทั้งยังกำกับละครเรื่อง แม่โขง (พีท ทองเจือ, นิ้ง กุลสตรี) ทางช่อง 7 สีอีกด้วย