รวยแต่ไร้ปริญญาแบบคนอเมริกัน
ขณะที่วิกฤตการณ์ด้านเศรษฐกิจของโลก ไล่ไปตั้งแต่สหรัฐอเมริกา ทวีปยุโรป และญี่ปุ่นยังลูกผีลูกคน
ขณะที่วิกฤตการณ์ด้านเศรษฐกิจของโลก ไล่ไปตั้งแต่สหรัฐอเมริกา ทวีปยุโรป และญี่ปุ่นยังลูกผีลูกคน
โดย..รวิภาส กล่ำทวี
ถึงแม้ว่าตัวเลขดัชนีชี้วัดด้านเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการของภาคธุรกิจเอกชน รวมไปถึงตัวเลขการจ้างงานจะกระเตื้องขึ้นมาบ้าง แต่โดยภาพรวมแล้วก็ยังถือว่าสภาวะเศรษฐกิจของโลกยังคงต้องลุ้นกันต่อไปอีกแบบไตรมาสต่อไตรมาส (ในรอบทุก 3 เดือน)
ปัญหาเศรษฐกิจนับได้ว่าเป็นปัญหาที่เชื่อมโยง และสามารถแปรสภาพเป็นต้นเหตุให้เกิดอีกหลายปัญหาตามมา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านการเมือง สังคม ตลอดจนถึงปัญหาสำคัญที่ถือเป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศ นั่นก็คือ ปัญหาด้านการศึกษาของประชากรในแต่ละประเทศในโลก ซึ่งบรรดาผู้นำในหลายประเทศทั่วโลกต่างพยายามหาทางแก้ไขและพัฒนาปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ขณะที่ภาพรวมประชากรของโลกที่มีการศึกษาอยู่ในระดับคิดเป็น วิเคราะห์เป็น และสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้เองอย่างมีประสิทธิภาพ ยังถือว่าอยู่ในเปอร์เซ็นต์สัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับจำนวนของประชากรของโลกทั้งหมดกว่า 6,000 ล้านคน
ถ้าจะกล่าวถึงประเทศที่มีการพัฒนาด้านการศึกษาสูงที่สุดในโลก ก็คงจะหนีไม่พ้นประเทศมหาอำนาจของโลกอย่างสหรัฐอเมริกาที่มีมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงไว้รองรับนักศึกษาทั่วโลกมากมายหลายสาขา แล้วแต่กำลังทรัพย์ของผู้เรียน ถึงแม้ว่าในระยะหลังๆ บรรดาบุตรสาวของเศรษฐีบ้านเราจะนิยมหันมาส่งลูกหลานตัวเองไปศึกษาต่อในหลายประเทศในทวีปยุโรป เช่น ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงจำนวนมากในประเทศอังกฤษก็ตาม สิ่งหนึ่งที่บรรดาผู้นำด้านการเมืองและการศึกษาของสหรัฐอเมริกาเขาให้ความสำคัญมากจนถึงมากที่สุด และถือเป็นสิ่งที่แตกต่างจากบรรดาผู้นำหลายประเทศในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนาทั้งหลายก็คือ การให้ความสำคัญกับการพัฒนาการด้านการศึกษาให้แก่ประชากรในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยจะสังเกตได้จากงบประมาณด้านการศึกษาที่แต่ละรัฐบาลอเมริกันจัดไว้เป็นจำนวนตัวเลขมากมายมหาศาล ใกล้เคียงกับตัวเลขด้านการส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจและด้านกลาโหม หรือการป้องกันประเทศ เมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา
มีนักธุรกิจชาวอเมริกันผู้หนึ่งนามว่า ปีเตอร์ ธีล (Peter Thiel) ผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ที่ให้บริการชำระค่าบริการผ่านทางออนไลน์ PayPal และยังเป็นผู้ร่วมลงทุนในเว็บสังคมออนไลน์ Facebook ได้ประกาศเปิดตัวมูลนิธิธีล (Thiel Foundation) เป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ โดยมูลนิธิดังกล่าวประกาศให้ทุนการศึกษาแก่เยาวชนอเมริกันที่อายุไม่เกิน 20 ปี จำนวน 20 คนแรก ภายใต้ชื่อโครงการ “20 Under 20” โดยจำนวนเงินทุนที่ให้จะมีมูลค่าสูงสุดถึง 1 แสนเหรียญสหรัฐต่อทุนต่อคน เพื่อเป็นเงินที่จะนำไปเป็นค่าการศึกษาและฝึกอบรมด้านการเป็นผู้ประกอบการ หรือการเป็นเจ้าของกิจการภายในระยะเวลา 2 ปี โดยเจ้าของมูลนิธิจะเป็นผู้จัดหาผู้เชี่ยวชาญและผู้ฝึกอบรมที่มีประสบการณ์ด้านการทำธุรกิจ และเป็นเจ้าของธุรกิจด้วยตัวเองโดยไม่ต้องผ่านการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมาก่อนใดๆ ทั้งสิ้น มาทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้แก่ผู้ที่ได้รับทุนรุ่นแรกทั้ง 20 คน พูดง่ายๆ ก็คือ ธีล มีวัตถุประสงค์หลักต้องการปั้นผู้ประกอบการเยาว์วัยให้มีความรู้และเป็นผู้ประกอบการ หรือเป็นเจ้าของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย โดยไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเงิน อันจะส่งผลถึงความเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในระยะยาว
เงื่อนไขประการเดียวที่ ธีล ประกาศไว้อย่างชัดเจนก็คือ ผู้สนใจรับทุนการศึกษาฝึกอบรมเป็นผู้ประกอบการจะต้องลาออกจากโรงเรียนหรือวิทยาลัยที่ตัวเองสังกัดอยู่ทุกประเภทอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และหันมาทุ่มเทฝึกอบรมการเป็นผู้ประกอบการภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิอย่างเต็มเวลาตลอด 2 ปี เหตุผลเดียวที่ ธีล ระบุไว้ก็คือ เขาไม่ศรัทธาและไม่เชื่อว่าระบบการศึกษาในสหรัฐอเมริกาปัจจุบันจะช่วยให้ผู้สำเร็จการศึกษาเมื่อสำเร็จแล้วจะสามารถผันตัวเองมาเป็นผู้ประกอบการ หรือเป็นเจ้าของกิจการของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ธีล ยังตั้งปณิธานไว้อย่างชัดเจนว่าจะปั้นผู้ประกอบการไร้ปริญญารุ่นแรกไว้เป็นรุ่นที่จะใช้ต่อยอดให้แก่รุ่นต่อๆ ไปอีกในอนาคตอย่างไม่สิ้นสุด
ท่านผู้อ่านต้องไม่ลืมว่ามีเจ้าของกิจการธุรกิจในโลกที่ประสบผลสำเร็จทั้งที่พวกเขาเหล่านั้นไม่มีใบปริญญาจำนวนมากมายหลายคน เช่น บิล เกตส์ (Bill Gates) แลร์รี เอลลิสัน (Larry Ellison) และมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ซึ่งทั้งหมดได้กลายเป็นเศรษฐีระดับพันล้านผ่านทางการทำงานตามความถนัดและความฝันของตัวเอง โดยไม่ต้องผ่านการศึกษาจากมหาวิทยาลัยใดๆ แถมหลายคน เช่น บิล เกตส์ ยังตั้งมูลนิธิช่วยเหลือคนยากไร้ทั่วโลกด้วยจำนวนเงินมหาศาลมากกว่าจำนวนเงินงบประมาณของประเทศไทยเสียอีก
ข้อคิดสำคัญของเรื่องทั้งหมดที่กล่าวมาก็คือ ประการแรก ผู้ประสบผลสำเร็จด้านธุรกิจจำนวนมากในสหรัฐอเมริกาเอง ก็ยังขาดศรัทธาต่อระบบการศึกษาในบ้านของเขาเอง ว่าจะช่วยให้ผู้ประกอบการประสบผลสำเร็จได้ดังใจฝัน ทำให้เราๆ ทั้งหลายสามารถคิดเองได้ว่า หลายๆ ครั้งของความสำเร็จ ประสบการณ์ ความชำนาญ และความถนัด อาจจะมีความหมายมากกว่าการศึกษาสูงๆ หรือใบปริญญาใดๆ ทั้งสิ้น ประการที่สอง คนอเมริกันเขาเป็นคนจำพวกที่มีคุณภาพค่อนข้างสูง จะเห็นได้ว่าผู้ที่ประสบผลสำเร็จทางธุรกิจที่มีเงินมากมายมหาศาล เช่น บิล เกตส์ ถึงแม้จะไม่มีการศึกษาระดับปริญญาใดๆ แต่สามารถก้าวสู่ความสำเร็จได้ด้วยตัวเอง และที่สำคัญก็คือ เขาคิดถึงคนอื่น และไม่เห็นแก่ตัวเหมือนอย่างคนรวยในประเทศด้อยพัฒนา หรือกำลังพัฒนาหลายประเทศ รวมทั้งคนรวยในประเทศไทยด้วย


