โศกนาฏกรรมญี่ปุ่น ความเสียหายเหนือสุดยอดระบบเตือนภัย
ความประณีตและเฝ้าระวังภัยความเสี่ยงจากเหตุรุนแรงก็ยังหลีกไม่พ้นความสูญเสียในระดับที่เรียกว่าเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ ในวันที่ 11 มี.ค. 2010....
ความประณีตและเฝ้าระวังภัยความเสี่ยงจากเหตุรุนแรงก็ยังหลีกไม่พ้นความสูญเสียในระดับที่เรียกว่าเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ ในวันที่ 11 มี.ค. 2010....
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ
หน้าประวัติศาสตร์โลกต้องจารึก โศกนาฏกรรมความสูญเสียจากเหตุแผ่นดินไหว และสึนามิในญี่ปุ่นในวันที่ 11 มี.ค. 2011 ไว้
แม้จะไม่ใช่ในนามของเหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด แต่ก็ต้องเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในโลก
ในแต่ละปีมีเหตุแผ่นดินไหวด้วยความรุนแรงมากกว่า 8 ริกเตอร์เกิดขึ้นเพียง 1 หรือ 2 ครั้งเท่านั้น ซึ่งแม้กระทั่งญี่ปุ่น ประเทศที่คุ้นเคยกับแรงสั่นไหวของโลกเป็นอย่างดี เนื่องจากญี่ปุ่นคือหนึ่งประเทศในโลกที่มีอัตราการเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้งมากที่สุด กินอัตราส่วนราว 20% ของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นแต่ละปีทั่วโลก
แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ก็ยังถือว่า “ไม่ธรรมดา”
พลิกหน้าประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นที่ผ่านๆ มาจะพบว่า มีเหตุแผ่นดินไหวด้วยความรุนแรงราว 8 ริกเตอร์ หรือมากกว่านั้น เคยเกิดขึ้นในญี่ปุ่นเพียง 7 ครั้งเท่านั้น นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1891
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีมาตรการและระเบียบแบบแผนในการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหวและสึนามิในระดับ “ดีเยี่ยม”
ที่เป็นเช่นนั้น เหตุหนึ่งเป็นเพราะเช่นที่กล่าวในข้างต้นว่า ญี่ปุ่นมีอัตราการเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้งมาก และสอง ญี่ปุ่นมีประสบการณ์อันปวดร้าวสุดสะเทือนเกิดขึ้นหลายครั้ง หนึ่งในนั้นคือ เหตุแผ่นดินไหวที่โกเบ (Kobe) ทางตะวันตกของญี่ปุ่น ด้วยแรงสั่นสะเทือน 7.3 ริกเตอร์ ทางหลวงสายสำคัญพังครืน อาคารย่อยยับ ไฟลามไปทั่ว โศกนาฏกรรมครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตราว 6,400 คน บาดเจ็บกว่า 4 แสนคน
นับตั้งแต่นั้น ทุกรัฐบาลของญี่ปุ่นให้ความสำคัญในเรื่องแผ่นดินไหวและภัยธรรมชาติเป็นอันดับต้นๆ เช่นเดียวกับรัฐฮาวายของสหรัฐ
รัฐบาลญี่ปุ่นทุ่มเงินจำนวนมหาศาลไปกับระบบการตรวจจับและเฝ้าระวังต่างๆ โดยศูนย์เตือนภัยสึนามิ (Tsunami Warning Service) เริ่มก่อตั้งขึ้นนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1952 ภายใต้การบริหารจัดการของสำนักงานอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่น (Japan Meteorological Agency : JMA)
หน่วยงานนี้จะทำหน้าที่จับตาความเคลื่อนไหวจากศูนย์ต่างๆ ที่กระจายอยู่ทั้งหมด 6 เขตพื้นที่ ซึ่งทำการประเมินข้อมูลที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกชายฝั่ง เพื่อให้ล่วงรู้ทุกความเคลื่อนไหวในทุกๆ จุดอย่างละเอียด
ทั้งนี้ เพราะไม่มีที่ใดในโลกหรือข้อมูลใดๆ ที่จะป้องกันไม่ให้เกิดสึนามิได้ 100% สิ่งที่ทำได้ดีที่สุด คือ การมีระบบมอนิเตอร์และเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่านั้น เพื่อลดผลกระทบความเสียหายและการสูญเสียชีวิต
ญี่ปุ่นให้ความสำคัญและตั้งเป้าในการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบเตือนภัยในด้านนี้ชัดเจนมาก โดยมีเป้าหมายในการติดตั้งระบบเตือนภัยที่สามารถเตือนประชาชนถึงการเกิดเหตุสึนามิได้ภายในเวลาเพียง 3 นาที หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวในแต่ละครั้ง และจะมีการออกอากาศเตือนหรือแจ้งผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ คือ ทางเครือข่ายสถานีเอ็นเอชเคในทันที
ถือเป็นปฏิบัติการที่รอบคอบและเป็นระเบียบรัดกุมมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในโลก
ยังไม่รวมถึงระบบเตือนภัยที่จะส่งเสียงร้องเตือนประชาชนในพื้นที่อย่างที่มีการติดตั้งในบ้านเรา ประชาชนในประเทศ รวมทั้งผู้ประกอบการต่างๆ ตระหนักและซึมซับประสบการณ์อันปวดร้าวจากอดีต ดังนั้น ข้อบังคับอันเคร่งครัดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เกินกว่าที่จะยอมแลกด้วยต้นทุนความเสียหาย
นอกจากนี้ รัฐบาลยังออกมาตรการใหม่ในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของอาคาร และมีผลบังคับใช้อย่างเข้มงวด
ความใส่ใจในเรื่องนี้ สะท้อนให้เห็นผ่านโครงการต่างๆ ของรัฐบาลระบบท้องถิ่นแทบทุกแห่ง ที่เสนอให้บริการตรวจเช็กโครงสร้างบ้านเรือนที่พักอาศัยทั้งเล็กใหญ่ของประชาชนในพื้นที่อยู่เสมอ
ยังไม่นับรวมถึงการตรวจสอบระบบสาธารณูปโภคและสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ภายในประเทศให้เหมาะสมอยู่เสมอ
อาคารสูงทุกแห่งในเมืองใหญ่ได้รับการออกแบบ โดยมีโครงสร้างทางวิศวกรรมที่จะแกว่งไกวหรือเอียงไปมา เพื่อรองรับกับแรงสั่นสะเทือนอย่างรัดกุมที่สุด แทนที่จะสั่นสะท้านไปทั่วทั้งโครงสร้าง และพังทลายลงมาโดยง่ายอย่างอาคารสูงโดยทั่วๆ ไป
พื้นที่ชายฝั่งบางแห่งยังมีการสร้างที่หลบภัยสึนามิไว้ บางแห่งได้สร้างประตูระบายน้ำ เพื่อที่จะต้านทานการไหลเข้าของน้ำจากเหตุสึนามิด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ในกรณีที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวในระดับความรุนแรงสูง บรรดารถไฟหัวกระสุนจะหยุดวิ่งในทันที รวมทั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และโรงไฟฟ้าอื่นๆ ทั้งหมด ซึ่งจะมีการกำหนดที่ตั้งให้ห่างจากพื้นที่ชายฝั่งค่อนข้างมาก และจะหยุดทำการชั่วคราวในระบบที่เรียกว่า “safe mode” โดยอัตโนมัติ เมื่อมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น
ไม่เพียงแต่การใส่ใจในสิ่งก่อสร้างหรือระบบต่างๆ เท่านั้น แต่การฝึกซ้อมเตรียมตัวในการรับมือกับเหตุแผ่นดินไหวเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการศึกษาของเด็กวัยประถมในทุกๆ โรงเรียนในญี่ปุ่น ในวัยเด็กชาวญี่ปุ่นได้ผ่านฉากที่ต้องเรียนรู้หลบมุดอยู่ใต้โต๊ะเรียนในยามเกิดแรงสั่นสะเทือนมาแล้วทั้งสิ้น เป็นการฝังวิถีทางการหลบหลีกและปกป้องตัวเองตั้งแต่ในวัยเด็ก เมื่อโตขึ้นไม่ว่าผู้ใหญ่หน้าไหนก็ต้องรู้ว่า ศูนย์อพยพที่ใกล้ที่สุดในพื้นที่ของตนนั้นอยู่ตรงจุดไหน
ทั้งหมดทั้งมวล เป็นศักยภาพในการมองการณ์ไกล และระแวดระวังภัยของประเทศมั่งคั่ง ช่างคิด และสร้างสรรค์อย่างญี่ปุ่น ที่ขึ้นในฐานะประเทศที่มีการเตรียมความพร้อมเหตุแผ่นดินไหวได้ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
แต่ความประณีตและเฝ้าระวังภัยความเสี่ยงจากเหตุรุนแรงก็ยังหลีกไม่พ้นความสูญเสียในระดับที่เรียกว่าเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ ในวันที่ 11 มี.ค. 2010 ที่โหมทำร้ายประหัตประหารชีวิตและเขย่าขวัญชาวญี่ปุ่นอย่างเหนือคณา


