กัดดาฟีสู้ตายจนเลือดหยดสุดท้าย
ลักพาตัวรมต.มหาดไทยแปรพักตร์เข้าข้างประชาชนคาดเหยื่อสังหารหมู่ทะลุหลักพัน
โพสต์ทูเดย์
— ประธานาธิบดี โมอัมมาร์ กัดดาฟี ลั่นสู้จนเลือดหยดสุดท้าย ยอมตายเยี่ยงผู้พลีชีพ ขณะเดียวกันกลับยิ่งเข้าตาจนหนัก รัฐมนตรีมหาดไทยทูตทั่วโลกยกขบวนตีตัวออกห่างโมอัมมาร์ กัดดาฟี ประกาศผ่านแถลงการณ์ที่ถ่ายทอดไปทั่วประเทศ ลั่นไม่ยอมสละตำแหน่งประธานาธิบดี พร้อมพลีชีพบนแผ่นดินลิเบียจนเลือดหยดสุดท้าย อีกทั้งยังจะเดินหน้ากำราบผู้ชุมนุมประท้วงต่อต้านตัวเองย่างเด็ดขาด และเรียกร้องให้ชาวลิเบียที่ยังสนับสนุนร่วมแสดงพลังเพื่อตอบโต้กับฝ่ายตรงข้ามจนถึงที่สุด
“
ผมจะไม่ยอมทิ้งแผ่นดินผืนนี้ ผมจะตายเยี่ยงผู้พลีชีพ ผมจะสู้ต่อไปจนถึงที่สุด” กัดดาฟี กล่าวย้ำ พร้อมอ้างไม่เคยใช้กำลังปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างเหี้ยมโหดท่าทีดังกล่าวนับเป็นสัญญาณเตือนว่า ผู้นำลิเบียอาจดึงดันที่ใช้กำลังรุนแรงเข้าปราบปรามประชาชนต่อไป แม้ว่าการกระทำเช่นนั้นอาจยังผลให้มีผู้เสียชีวิตถึง 1,000 คนจากการประเมินโดย รัฐฟรังโก ฟรัตตินี รัฐมนตรีต่างประเทศของอิตาลี ท่ามกลางความโกรธเคืองของประชาคมโลก ที่ก่นประณามการกระทำของผู้นำลิเบียอย่างรุนแรง
สถานะของ กัดดาฟี ยิ่งสั่นคลอนหนักเมื่อ อับเดล ฟาตาห์ ยูเนส รัฐมนตรีมหาดไทยคู่ใจ ลาออกจากตำแหน่ง พร้อมเรียกร้องให้กองทัพยืนเคียงข้างประชาชน ร่วมขบวนกับบรรดารัฐมนตรี คณะทูตและนายทหารที่หันหลังให้กับผู้นำประเทศ ซึ่งล่าสุด รวมถึงทูตลิเบียในอินโดนีเซีย และผู้ช่วยอาวุโสของ ซาอิฟ อัลอิสลาม กัดดาฟี บุตรชายผู้นำลิเบีย
“
กัดดาฟีบอกกับผมว่า มีแผนที่จะใช้การถล่มทางอากาศกับประชาชนในเมืองเบงกาซี ผมบอกไปว่า หากทำเช่นนั้นจะมีประชาชนต้องล้มตายนับพันคน” ยูนิส เผย พร้อมเตือนว่า กัดดาฟีจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ และท้ายที่สุดอาจต้องลงมือปลิดชีพตนเองหรือไม่ก็ต้องจบชีวิตด้วยน้ำมือผู้อื่นอย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่สามารถยืนยันชะตากรรมของอดีตรัฐมนตรีมหาดไทยลิเบียได้ หลังจากที่สื่อของรัฐรายงานว่า ยูนิส ถูกแก๊งอันธพาลลักพาตัวไป ขณะที่พยานบางรายในเมืองเบงกาซีอ้างว่า พรรคฝ่ายค้านเข้าควบคุมตัว ยูนิส ส่วนพยานอีกส่วนหนึ่งเปิดเผยกับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่า พบเห็น ยูนิส ครั้งสุดท้ายขณะเข้าร่วมกับผู้ชุมนุมเมื่อช่วงต้นสัปดาห์เท่านั้น
ทั้งนี้ เศรษฐกิจโลกยังได้รับผลกระทบรุนแรงจากเหตุนองเลือดในลิเบีย โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบแหล่งเบรนต์ ในตลาดลอนดอนปรับขึ้นมาอยู่ที่เหนือระดับ 107 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตรึงอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี ส่วนราคาน้ำมันดิบในตลาดเอเชียขยับเข้าใกล้ระดับ 96 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สูงสุดในรอบ 2 ปีเช่นกัน
จากราคาน้ำมันแพงทุบสถิติ ยังผลให้ด้านตลาดหุ้นทั่วโลกติดลบต่อเนื่อง โดยดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของสหรัฐดิ่งเหวหนัก ปิดตลาดลดลงมากที่สุดในรอบปีเมื่อวานนี้ โดยติดลบไปถึง 178.46 จุด หรือ 1.44% ไปอยู่ที่ 12,212.80 จุด
อย่างไรก็ตาม กระแสความวิตกต่อราคาน้ำมันอาจผ่อนคลายลงในเร็วๆ นี้เมื่อ อาลี อัลไนมี รัฐมนตรีน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย เปิดเผยว่า โอเปก อาจเพิ่มปริมาณน้ำมันเพื่อทดแทนกำลังผลิตจากอุตสาหกรรมน้ำมันในลิเบียที่หยุดชะงักลง ซึ่งล่าสุด โททัล บริษัทน้ำมันจากฝรั่งเศสได้ระงับการผลิตในลิเบียแล้ว


