ฮุนเซน-ฮุนมาเนต พ่อลูกตระกูลคิมฉบับเขมร?
สังเวียนการเมืองของสองพ่อลูก “ตระกุลฮุน” โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายต่างประเทศกับเพื่อนบ้านอย่างไทย ซึ่งจากเหตุการณ์ปะทะล่าสุด รวมทั้งจุดยืนของผู้พ่อ คงพอเห็นเงาจางๆ ของความแข็งกร้าว
สังเวียนการเมืองของสองพ่อลูก “ตระกุลฮุน” โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายต่างประเทศกับเพื่อนบ้านอย่างไทย ซึ่งจากเหตุการณ์ปะทะล่าสุด รวมทั้งจุดยืนของผู้พ่อ คงพอเห็นเงาจางๆ ของความแข็งกร้าว
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ
เหตุปะทะกันครั้งล่าสุดระหว่างไทย-กัมพูชา นอกจากจะโกยเรตติ้งจากชาวโลกได้อย่างถล่มทลาย แถมยังเบียดพื้นที่ข่าวการจลาจลในอียิปต์ขึ้นไปผงาดตามเว็บไซต์ของสื่อระดับบิ๊กของโลกอย่าง ซีเอ็นเอ็น บีบีซี และรอยเตอร์ส ได้อย่างงดงามแล้ว
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นนี้ ยังแจ้งเกิดตัวละครตัวใหม่ของข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชาได้อย่างน่าสนใจ
คนผู้นั้น คือ พล.ต.ฮุนมาเนต ผู้บังคับการหน่วยทหารราบของกัมพูชา ซึ่งลือสนั่นว่าเป็นผู้เข้ามาบัญชาการรบชายแดนไทย-เขมรครั้งล่าสุดนี้ด้วยตัวเอง
ว่ากันว่า ที่ต้องลงทุนเสี่ยงชีวิตขนาดนี้ ก็เพื่อสลัดภาพนักรบห้องแอร์ และพิสูจน์ฝีมือให้ผู้เป็นพ่อเห็น
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเพียงรายงานข่าวที่ไม่มีการยืนยัน แต่ข่าวลือที่ว่าก็ทำให้ชื่อของ “ฮุนมาเนต” ดังกระฉ่อนและเป็นที่จับตามองทันที เพราะไม่เพียงนายทหารหนุ่มนักบู๊ผู้นี้จะสร้างวีรกรรม สะท้อนความสัมพันธ์สองประเทศ แต่ยังมีดีกรีเป็นถึงหนึ่งในสมาชิกตระกูล “ฮุน” ผู้ผูกขาดอำนาจการปกครองในกัมพูชามานานถึง 30 ปี
“ฮุนมาเนต” วัย 33 ปี คือลูกชายคนโตของนายกรัฐมนตรี ฮุนเซน แห่งกัมพูชา และ บุญรานี ฮุนเซน มีพี่น้องร่วมสายเลือด 5 คน เป็นชาย 3 คน หญิง 2 คน และมีน้องสาวบุญธรรมอีก 1 คน
ก่อนหน้านี้ ฮุนมาเนตเคยสร้างความฮือฮาให้กับชาวโลกมาแล้วเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ภายหลังจากที่ฮุนเซน ผู้พ่อ ประกาศแต่งตั้งให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเลื่อนขั้นเป็นนายพล 2 ดาว นั่งตำแหน่งผู้บังคับการหน่วยทหารราบด้วยวัยเพียง 33 ปี
นอกจากนี้ ยังให้ควบตำแหน่งหัวหน้ากองทหารองครักษ์ฮุนเซน และผู้อำนวยการหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายด้วย
แน่นอนว่า การประกาศเลื่อนตำแหน่งให้ลูกชายแถมพ่วงตำแหน่งสำคัญๆ เป็นพวงแบบไม่แคร์สื่อ หรือเกรงว่าใครจะหมั่นไส้นี้ กลายเป็นประเด็นให้วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานาว่า ผู้นำเขมรกำลังเดินตามรอยผู้นำโสมแดง เพื่อปูทางสร้างทายาททางการเมือง
รอยเตอร์สเผยแพร่รายงานกึ่งวิเคราะห์ว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้ชาวกัมพูชาหลายคนอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้ว่า ภาพแห่งการสืบทอดอำนาจของนายกรัฐมนตรี ซึ่งกุมอำนาจมายาวนาน เริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้ว
ยิ่งกว่านั้น ยังมีการเปรียบเปรยพฤติกรรมของสองพ่อลูกตระกูลฮุนว่า ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับสองพ่อลูกตระกูลคิมแห่งเกาหลีเหนือซะนี่กระไร
ทางฟากของเกาหลีเหนือ เมื่อเดือน ก.ย.ปีที่แล้ว ผู้นำ คิมจองอิล แห่งโสมแดงเองก็เพิ่งเซอร์ไพรส์ชาวโลกด้วยการเปิดตัวลูกชายคนเล็ก “คิมจองอึน” วัย 29 ปี ซึ่งเก็บตัวเงียบไม่เคยออกสื่อมาก่อน พร้อมเลื่อนตำแหน่งเป็นนายพล 4 ดาว และสมาชิกกรมการเมือง ทั้งที่|ไม่เคยมีบทบาทอะไรทางการเมืองเป็นชิ้นเป็นอันมาก่อน
นับเป็นการประกาศให้โลกรู้เป็นนัยๆ ว่า “คิมจองอึน” นี่แหละ คือทายาททางการเมืองที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำเกาหลีเหนือรุ่นที่ 3 ต่อไป
กระนั้น ในมุมมองของนักเคราะห์กลับเห็นว่าปรากฏการณ์สืบทอดอำนาจนี้ อาจไม่เหมือนกันซะทีเดียว เพราะอย่างน้อยในขณะที่คิมผู้พ่ออาจกำลังวาดแผนการในหัวเพื่อจะถ่ายโอนอำนาจให้ลูกชายเร็วๆ นี้ แต่สำหรับกัมพูชาแล้ว ดูเหมือนว่าเส้นทางที่ฮุนผู้ลูกจะขึ้นมาผงาดในฐานะผู้นำประเทศยังอีกยาวไกล ดังที่ฮุนผู้พ่อเคยประกาศว่าจะกอดเก้าอี้นายกฯ ไว้จนกว่าจะอายุ 90 ปี ซึ่งเมื่อบวกลบอายุอานามตอนนี้ที่ย่างเข้า 60 ปี ก็ยังมีเวลาอีกมากโข
กล่าวคือ การที่ฮุนเซนเลื่อนยศลูกชายสุดที่รักขึ้นมาดำรงตำแหน่งสำคัญครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นการหาทายาทเพื่อลงจากตำแหน่งซะทีเดียว แต่เป็นเพียงหนึ่งในสัญลักษณ์ของการสืบทอดอำนาจทางการเมืองไปยังผู้สืบสายเลือด และอีกหนึ่งความพยายามที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของฮุนเซนในการรวมศูนย์อำนาจไว้ให้ได้นานเท่านาน
โทนี เควิน นักวิชาการและอดีตเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำกรุงพนมเปญ เชื่อว่าฮุนเซนวางแผนจะครองอำนาจต่อไปให้นานที่สุด เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกชายสร้างอิทธิพลในกองทัพให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“ฮุนเซนเพิ่งจะย่างเข้า 60 ปี ซึ่งถือว่ายังอายุน้อยในการเมืองของเอเชีย ดังนั้นการที่ลูกชายของเขาได้เป็นนายพลระดับสูงของกองทัพ ก็จะยิ่งสร้างหลักประกันแห่งอำนาจให้ตระกูลฮุน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ฮุนเซนปรารถนา” เควิน กล่าว พร้อมเสริมว่า หากจะเหมารวมว่าการเลื่อนยศครั้งนี้ เป็นหนึ่งในแผนสืบทอดอำนาจทางการเมืองนั้น คงเร็วเกินไปที่จะพูดถึง
ย้อนกลับมาที่ฮุนมาเนต นายทหารหนุ่มอนาคตไกล ซึ่งกำลังเป็นหนุ่มฮอตที่หลายคนอยากรู้จัก ไม่ใช่เพราะมีหน้าตาเป็นอาวุธ แต่เพราะถนนแห่งอำนาจที่ฮุนผู้พ่อตัดให้ลูกชายเยื้องย่าง
แน่นอนว่า การได้เลื่อนตำแหน่งแบบก้าวกระโดด โดยคำสั่งประกาศิตจากคนบ้านเดียวกันย่อมก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสังคม
แต่งานนี้ดูเหมือนฮุนเซนจะเตรียมตัวมาดี จึงสามารถสวมบทคุณพ่อที่แสนดีคอยปกป้องลูกชายสุดที่รักได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เพราะหากใครมาวิจารณ์ลับหลังว่าฮุนมาเนตเติบโตในสายงานเร็วผิดสังเกต ก็จะได้รับคำตอบว่า ฮุนมาเนตอดีตนายทหารโลว์โปรไฟล์|ผู้นี้ รับราชการทหารมา 16 ปีแล้ว การเลื่อนตำแหน่งดังกล่าวก็เป็นไปตามกติกาของกองทัพ
ไม่มีเรื่องเส้นสายหรือการซูเอี๋ยลูกชายใดๆ ทั้งสิ้น
กอปรกับพื้นหลังการศึกษาของฮุนมาเนตที่ไม่เป็นสองรองใคร เพราะไม่เพียงจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ สถาบันการศึกษาด้านการทหารอันดับ 1 ของสหรัฐ แต่ยังคว้าปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ นิวยอร์ก และปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยบริสตอล ของอังกฤษ มาประดับฝาบ้านได้สำเร็จอีกด้วย
นับเป็นการปูทางด้านการศึกษาที่ไม่มีที่ติ ชำนาญทั้งด้านการทหารและเศรษฐศาสตร์ ตรงคุณสมบัติของผู้ที่จะขึ้นเป็นผู้นำทางการเมือง
ความเหมาะสมและเพียบพร้อมของฮุนมาเนต ยังได้รับการสำทับจาก พล.อ.เตียบัณห์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหมของกัมพูชา ที่ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์พนมเปญโพสต์ ว่า โรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ที่ฮุนมาเนตเป็นศิษย์เก่านั้น เลื่องลือในเรื่องวิทยาศาสตร์การเมือง กฎหมาย และกองทัพ ดังนั้นฮุนมาเนตน่าจะได้นำความรู้ที่สั่งสมมาใช้ในการทำงานในตำแหน่งใหม่
แต่ทว่า แม้ความรู้และความสามารถที่ติดตัวมา จะลดความเคลือบแคลงต่อการเลื่อนขั้นแบบก้าวกระโดด แต่การที่ฮุนมาเนตมีตำแหน่งพ่วงท้ายเสริมมาด้วยอีกหลายตำแหน่ง ทั้งเบอร์สองของหน่วยรักษาความปลอดภัยส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีผู้เป็นพ่อ และหัวหน้าหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายของกัมพูชา ด้วยเหตุนี้ทำให้หลายคนอดตั้งข้อสังเกตว่า นี่มิใช่การเลื่อนขั้นตามปกติ ยิ่งกว่านั้นคนเพียงคนเดียวจะสามารถแบกรับหน้าที่และความรับผิดชอบหนักหน่วงขนาดนี้ไว้บนบ่าได้หรือ
“ผมไม่คัดค้านการเลื่อนตำแหน่งของลูกชายนายกฯ ฮุนเซน เพราะเขามีคุณสมบัติตามตำแหน่งที่ได้รับ แต่ผมกังวลว่าเขาจะสวมหมวกหลายใบเกินไป” เจ้าหน้าที่รัฐสภาจากจังหวัดกัมปอด กล่าว
นับเป็นอีกหนึ่ง “ตระกูลการเมือง” ที่โลกต้องจับตามองอย่างไม่กะพริบตา เพราะแม้ความพยายามสืบทอดอำนาจจากพ่อสู่ลูกจะไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ที่น่าตื่นใจ หากแต่ในอดีตก็มีตัวอย่างให้เห็นมานักต่อนัก
แต่ที่น่าสนใจ คือ ก้าวต่อไปในสังเวียนการเมืองของสองพ่อลูก “ตระกุลฮุน” ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายต่างประเทศกับเพื่อนบ้านอย่างไทยแลนด์ ซึ่งจากเหตุการณ์ปะทะล่าสุด รวมทั้งจุดยืนของผู้พ่อ คงพอเห็นเงาจางๆ ของความแข็งกร้าว และเดาผลลัพธ์ได้ไม่ยาก


