ศาลหนุนนโยบายทรัมป์! ไฟเขียวขึ้นค่าวีซ่า H-1B ทะลุ 3 ล้านบาท
ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ พิพากษาให้รัฐบาลทรัมป์สามารถบังคับใช้ค่าธรรมเนียม วีซ่า H-1B อัตราใหม่ที่ 100,000 ดอลลาร์ (ราว 3 ล้านบาท) ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
KEY
POINTS
- ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีคำพิพากษาว่าคำสั่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B เป็น 100,000 ดอลลาร์ (ราว 3.4 ล้านบาท) นั้นชอบด้วยกฎหมาย
- ผู้พิพากษาชี้ขาดว่า ประธานาธิบดีมีอำนาจตามกฎหมายในการกำหนดมาตรการเพื่อรับมือกับปัญหาความมั่นคงทางเศรษฐกิจและผลประโยชน์ของชาติ
- คำตัดสินนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่พึ่งพาแรงงานทักษะสูงจากต่างประเทศ ขณะที่หอการค้าสหรัฐฯ และอัยการรัฐ 19 แห่ง ยังคงเดินหน้าคัดค้านเนื่องจากกังวลผลกระทบวงกว้าง
ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีคำพิพากษาอนุญาตให้รัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ สามารถเดินหน้าบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมวีซ่า สำหรับการยื่นขอ วีซ่า H-1B ฉบับใหม่ในอัตราสูงถึง 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับบริษัทเทคโนโลยีอเมริกันที่ต้องพึ่งพาแรงงานทักษะสูงจากต่างประเทศ
อำนาจประธานาธิบดีเหนือข้อโต้แย้ง
เมื่อวันอังคาร เบอริล ฮาวเวลล์ (Beryl Howell) ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ ได้มีคำวินิจฉัยว่า ความเคลื่อนไหวของประธานาธิบดี ทรัมป์ ในการปรับขึ้นต้นทุนของ วีซ่า H-1B ในอัตราก้าวกระโดดนั้น เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย คำตัดสินนี้ถือเป็นแต้มต่อให้กับแคมเปญของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่มุ่งเน้นการจำกัดการอพยพย้ายถิ่นฐานและผลักดันให้เกิดการจ้างงานพลเมืองสหรัฐฯ แทน
ผู้พิพากษาฮาวเวลล์ได้ปัดตกข้อโต้แย้งของหอการค้าสหรัฐฯ (U.S. Chamber of Commerce) ที่ยื่นฟ้องเพื่อระงับข้อเสนอนี้ โดยระบุว่าคำประกาศของประธานาธิบดีอยู่ภายใต้ "อำนาจที่ได้รับมอบอย่างชัดแจ้งตามกฎหมาย"
"ในกรณีนี้ สภาคองเกรสได้มอบอำนาจตามกฎหมายแก่ประธานาธิบดี ซึ่งท่านได้ใช้เพื่อออกประกาศจัดการกับปัญหาที่ท่านมองว่าเป็นประเด็นความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ ในรูปแบบที่ท่านเห็นสมควร" ผู้พิพากษาฮาวเวลล์ ระบุในคำตัดสิน
ทั้งนี้ ทางสำนักงานสื่อมวลชนของหอการค้าสหรัฐฯ ยังไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นตอบกลับในทันที เนื่องจากอยู่นอกเวลาทำการปกติ แต่ตามกระบวนการแล้วทางหอการค้าฯ ยังสามารถยื่นอุทธรณ์ได้
เจาะผลกระทบต่อ "แรงงานไอที" และบิ๊กเทคฯ
โครงการ วีซ่า H-1B ถือเป็นรากฐานสำคัญของการจ้างงานที่อิงตามทักษะ (Employment-based immigration) ซึ่งเปิดโอกาสให้บริษัทในสหรัฐฯ จ้างชาวต่างชาติที่มีวุฒิการศึกษาระดับสูงเพื่อทำงานในสายวิชาชีพเฉพาะทาง
โดยเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทรัมป์ ได้ลงนามในคำประกาศขึ้น ค่าธรรมเนียมวีซ่า เพื่อป้องปรามไม่ให้บริษัทต่างๆ ใช้ช่องโหว่ของโครงการนี้มาแทนที่แรงงานชาวอเมริกัน
ปกติแล้ว วีซ่า H-1B จะใช้วิธีการคัดเลือกผ่านระบบสุ่ม (Lottery) และผู้ใช้งานหลักคืออุตสาหกรรมเทคโนโลยี ข้อมูลจากรัฐบาลสหรัฐฯ เผยว่า บริษัทชั้นนำอย่าง Amazon, Tata Consultancy Services, Microsoft, Meta Platforms (Facebook) และ Apple คือกลุ่มบริษัทที่มีจำนวนพนักงานถือวีซ่าประเภทนี้มากที่สุด
เสียงคัดค้านจากภาคธุรกิจและภาครัฐ
หอการค้าสหรัฐฯ ซึ่งเป็นกลุ่มล็อบบี้ภาคธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ได้ยื่นฟ้องเมื่อเดือนตุลาคม โดยโต้แย้งว่าการขึ้นค่าธรรมเนียมนี้ขัดต่อกฎหมายและก้าวล่วงอำนาจการกำหนดค่าธรรมเนียมของสภาคองเกรส
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มอัยการสูงสุดจาก 19 รัฐ ที่ร่วมกันยื่นฟ้องคัดค้านคำสั่งของ ทรัมป์ เช่นกัน โดยมุ่งประเด็นไปที่ผลกระทบต่อภาคสาธารณะ โดยเฉพาะในแวดวงสาธารณสุขและการศึกษาที่ต้องพึ่งพา วีซ่า H-1B รวมถึงยังมีคดีแยกต่างหากที่ยื่นฟ้องโดยหน่วยงานจัดหาพยาบาลระดับโลกอีกด้วย
ข้อมูลคดี: Chamber of Commerce vs. US Department of Homeland Security, 25-cv-03675, US District Court, District of Columbia (Washington).
อ้างอิง: Bloomberg


