ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์หนุนราคาทองเพิ่มขึ้น ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวก

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดปรับตัวขึ้นในวันพฤหัสบดี ท่ามกลางการประเมินผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่หลากหลายและปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยดัชนีหลักทั้งสามของวอลล์สตรีทปิดในแดนบวก ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีช่วยหนุนให้แนสแด็กปรับตัวขึ้นนำตลาด และดัชนี Russell 2000 ของหุ้นขนาดเล็กทำผลงานโดดเด่นที่สุดในวัน

 

แรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดหลังทำเนียบขาวยืนยันว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีกำหนดพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนในสัปดาห์หน้า ระหว่างการเดินทางเยือนเอเชียของผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศ หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายออกมาตรการตอบโต้กันไปมาหลายรอบในช่วงที่ผ่านมา การยืนยันการพบปะดังกล่าวช่วยคลายความวิตกในตลาดการเงินลงบางส่วน

 

ขณะเดียวกัน ทรัมป์ได้ประกาศมาตรการคว่ำบาตรบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของรัสเซีย เพื่อเพิ่มแรงกดดันต่อมอสโกในการยุติสงครามกับยูเครน ถือเป็นการเปลี่ยนท่าทีเชิงนโยบายอย่างมีนัยสำคัญและส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจน

 

ดัชนี อุตสาหกรรมดาวโจนส์  ปิดเพิ่มขึ้น 144.20 จุด หรือ 0.31% อยู่ที่ 46,734.61 จุด

 

ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 39.03 จุด หรือ 0.58% ปิดที่ 6,738.43 จุด

 

ส่วนดัชนี แนสแด็ก คอมโพสิต ปรับขึ้น 201.40 จุด หรือ 0.89% ปิดที่ 22,941.80 จุด

 

ตลาดน้ำมันยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุน หลังการประกาศคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันว่าพร้อมดำเนินมาตรการต่อไป หากมอสโกไม่ยอมตกลงให้มีการหยุดยิงในทันที 

 

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ของสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น 5.6% ปิดที่ 61.79 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล 

 

ขณะที่น้ำมันดิบเบรนท์ปรับขึ้น 5.34% ปิดที่ 65.93 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

ด้านราคาทองคำกลับมาฟื้นตัวกว่า 1% หลังปรับลดลงติดต่อกันสองวัน เนื่องจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กลับมาอีกครั้งหนุนแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ก่อนการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อสำคัญของสหรัฐฯ ในวันศุกร์ 

 

ราคาทองสปอตปรับขึ้น 1% สู่ระดับ 4,132.76 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบสองสัปดาห์ในวันก่อนหน้า 

 

ส่วนสัญญาทองคำล่วงหน้าส่งมอบเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้น 2% ปิดที่ 4,145.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์.