ไต้หวัน ยันจีนคุมแร่หายากไม่กระทบการผลิตเซมิคอนดักเตอร์
ไต้หวันยืนยัน มาตรการควบคุมแร่หายากของจีน ไม่กระทบอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างมีนัยสำคัญ เพราะไม่ใช่แร่สำคัญในกระบวนการผลิตของตน
KEY
POINTS
- กระทรวงเศรษฐกิจไต้หวันยืนยันว่ามาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากของจีนจะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวัน
- แร่ธาตุที่จีนประกาศควบคุมล่าสุดเป็นคนละชนิดกับที่ใช้ในกระบวนการผลิตชิปของไต้หวัน
- ไต้หวันนำเข้าสารประกอบแร่หายากที่จำเป็นสำหรับการผลิตส่วนใหญ่จากยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น
กระทรวงเศรษฐกิจของไต้หวันแถลงเมื่อวันอาทิตย์ว่า มาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากชุดใหม่ของจีนไม่น่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวัน เนื่องจากแร่ธาตุที่ถูกควบคุมล่าสุดนั้นแตกต่างจากแร่ที่ใช้ในกระบวนการผลิตชิปของไต้หวัน
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา จีนได้ประกาศขยายการควบคุมการส่งออกแร่หายากอย่างมีนัยสำคัญ โดยเพิ่มรายการธาตุอีก 5 ชนิด และกำหนดมาตรการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะต่อผู้ใช้ในอุตสาหกรรมชิป ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่จีนเตรียมการหารือกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง
กระทรวงเศรษฐกิจไต้หวันระบุในแถลงการณ์ว่า “ธาตุแร่หายากที่อยู่ภายใต้การควบคุมฉบับใหม่ของจีนนั้น ไม่ใช่ธาตุที่จำเป็นในกระบวนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวัน ดังนั้นจึงไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการผลิตชิป ณ เวลานี้”
กระทรวงยังระบุเพิ่มเติมว่า สินค้าหรือสารประกอบที่จำเป็นในประเทศและมีส่วนผสมของแร่หายาก ส่วนใหญ่นำเข้าจากยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น
ทั้งนี้ ไต้หวันเป็นที่ตั้งของบริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลกในลักษณะรับจ้างผลิต (contract manufacturer) และมีบทบาทสำคัญในการผลิตชิประดับสูงที่เป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
อย่างไรก็ดี กระทรวงเศรษฐกิจของไต้หวันเตือนว่า มาตรการควบคุมล่าสุดของจีนอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานระดับโลกในอุตสาหกรรมอื่น เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า และอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ซึ่งจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป
ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน จีนได้ออกมาแถลงปกป้องมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยระบุว่ามาตรการเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อควบคุมการนำไปใช้ทางการทหารในช่วงเวลาที่เกิดความขัดแย้งทางทหาร “อย่างถี่ถ้วน” ทั่วโลก


