หนี้สาธารณะของสหรัฐเสี่ยงพุ่ง หลังประเทศเข้าสู่โหมดชัตดาวน์
วิกฤตชัตดาวน์ ขณะหนี้สาธารณะสหรัฐฯ พุ่งแตะเกือบ 38 ล้านล้านดอลลาร์ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองและความกังวลต่อเสถียรภาพการคลัง
KEY
POINTS
- การปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ (ชัตดาวน์) จากความขัดแย้งทางการเมือง ทำให้ปัญหาหนี้สาธารณะที่สูงอยู่แล้วถูกละเลยและเสี่ยงที่จะเพิ่มสูงขึ้นอีก
- หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ พุ่งสูงเกือบ 38 ล้านล้านดอลลาร์ โดยภาระดอกเบี้ยจ่ายต่อปีสูงกว่างบประมาณกลาโหม และส่งผลกระทบต่อโครงการสวัสดิการสังคม
- นักการเมืองจากทั้งสองพรรคหลักต่างหลีกเลี่ยงการแก้ไขปัญหาหนี้อย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นไปที่การโจมตีทางการเมืองและกล่าวโทษนโยบายของอีกฝ่ายว่าเป็นสาเหตุของการขาดดุล
การปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ ยืดเยื้อท่ามกลางข้อพิพาทระหว่างพรรคเดโมแครตกับพรรครีพับลิกันภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นักวิเคราะห์เตือนว่า ประเด็นที่สำคัญและเร่งด่วนอย่างสถานะการคลังของประเทศกลับถูกละเลย โดยเฉพาะปัญหาหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และความไม่มั่นคงทางการเงินในระยะยาวของโครงการประกันสังคม (Social Security) และโครงการประกันสุขภาพผู้สูงอายุ (Medicare)
การปิดหน่วยงานรัฐบาลบางส่วนครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 15 นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981 มีสาเหตุมาจากความขัดแย้งเรื่องข้อเสนอใช้จ่ายงบประมาณของพรรคเดโมแครต ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่ารวมประมาณ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า จะยิ่งเพิ่มภาระให้กับหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่ขณะนี้สูงถึงเกือบ 38 ล้านล้านดอลลาร์
วุฒิสภาสหรัฐฯ ได้มีการลงมติในร่างงบประมาณหลายครั้ง โดยหนึ่งในนั้นคือร่างกฎหมายที่ผ่านสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของพรรครีพับลิกัน และได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีทรัมป์ โดยมีเป้าหมายเพื่อเปิดหน่วยงานรัฐบาลอีกครั้งโดยใช้ระดับงบประมาณเดิมไปจนถึงวันที่ 21 พฤศจิกายน แต่พรรคเดโมแครตก็เสนอร่างกฎหมายของตนเองที่เน้นการเพิ่มงบประมาณในภาคส่วนบริการสุขภาพ
อย่างไรก็ตาม มีการอภิปรายเพียงเล็กน้อยหรือแทบไม่มีเลยเกี่ยวกับวิธีการลดการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางที่สูงเกือบ 2 ล้านล้านดอลลาร์
ในอดีต การปิดหน่วยงานรัฐบาลในช่วง 44 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้านการคลัง เช่น การใช้จ่ายเกินตัว การขาดดุลงบประมาณ และความพยายามในการจัดทำงบประมาณสมดุล แต่ตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งในปี 2017 สหรัฐฯ ได้ปิดหน่วยงานของรัฐไปแล้วถึงสามครั้ง ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับประเด็นทางสังคม เช่น นโยบายคนเข้าเมือง และระบบสาธารณสุข
วิกฤตการเมืองครั้งนี้มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่งบประมาณ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งคิดเป็นเพียงหนึ่งในสี่ของการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางต่อปีเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์อิสระเตือนว่า สหรัฐฯ กำลังเผชิญภาวะเสื่อมถอยทางการคลัง โดยหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเร็วกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจ ขณะที่การจ่ายดอกเบี้ยหนี้ก็กำลังเบียดเบียนงบประมาณของโครงการภาครัฐที่จำเป็น และความอ่อนแอทางการเงินยังคุกคามกองทุนประกันสังคมสำหรับผู้สูงอายุอีกด้วย
หนี้สะสมพุ่งไม่หยุด
ตลอดช่วงเวลา 25 ปีที่ผ่านมา หนี้สาธารณะของสหรัฐอเมริกาได้เพิ่มขึ้นจาก 5.67 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 37.88 ล้านล้านดอลลาร์ โดยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่ขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองใดครองอำนาจ ทั้งในฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ปัจจุบันเพียงดอกเบี้ยของหนี้ก็มีมูลค่าสูงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งสูงกว่างบประมาณด้านกลาโหมของรัฐบาลสหรัฐฯ และโครงการประกันสังคม (Social Security) รวมถึงโครงการประกันสุขภาพผู้สูงอายุ (Medicare) ต่างกำลังเผชิญความเสี่ยงขาดแคลนเงินทุน ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดลดสิทธิประโยชน์ของประชาชนอย่างกว้างขวาง
การเมืองยังคงเมินเฉยต่อปัญหาหนี้
ผู้นำพรรครีพับลิกัน อาทิ นายไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้แสดงความกังวลต่อผลกระทบของการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้หนี้สาธารณะสูงขึ้นอีก ท่ามกลางการอภิปรายเรื่องการปิดหน่วยงานรัฐบาล อย่างไรก็ดี กลุ่มแกนนำของพรรครีพับลิกันส่วนใหญ่ยังคงเน้นโจมตีนโยบาย “หัวรุนแรง” ของพรรคเดโมแครตมากกว่าการมุ่งเน้นเสถียรภาพทางการคลัง ขณะที่พรรคเดโมแครตเองก็หลีกเลี่ยงการพูดถึงประเด็นการคลัง และโทษรีพับลิกันว่าเป็นต้นเหตุของการขาดดุล จากการผลักดันกฎหมายลดภาษีและเพิ่มการใช้จ่ายในยุคประธานาธิบดีทรัมป์
สำนักงานงบประมาณรัฐสภา (Congressional Budget Office) ประเมินว่า กฎหมายดังกล่าวจะเพิ่มการขาดดุลประมาณ 4.1 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า แม้ว่าจะมีรายได้จากภาษีศุลกากรในยุคทรัมป์เข้ามาชดเชยราว 4 ล้านล้านดอลลาร์ก็ตาม
เสียงเรียกร้องจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมด้านการคลัง
แม้จะมีผู้นำพรรคจำนวนมากที่หลีกเลี่ยงการพูดถึงปัญหาการขาดดุลงบประมาณ ขณะเดียวกัน วุฒิสมาชิกหลายรายมองว่า การปิดหน่วยงานรัฐบาลเป็นกลยุทธ์ของผู้นำพรรคและคณะกรรมาธิการจัดสรรงบประมาณ เพื่อรักษาอำนาจในการตัดสินใจด้านการใช้จ่าย และหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับทางเลือกที่ยากลำบากทางการเมืองซึ่งจำเป็นในการลดการขาดดุล
ทั้งนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่าประเด็นหนี้และการขาดดุลงบประมาณจะกลายเป็นหัวข้อหลักในทางการเมืองเมื่อใด โดยบางฝ่ายเชื่อว่าแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นจากภาระหนี้อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้สังคมเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับปัญหานี้ในอนาคต
“เรากำลังเดินละเมอเข้าสู่วิกฤตหนี้อย่างไม่รู้ตัว” เจสสิกา รีเดิล นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันแมนฮัตตัน ซึ่งมีแนวคิดอนุรักษ์นิยม กล่าว “แม้ความเจ็บปวดจากหนี้อาจยังไม่ปรากฏในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่การตัดสินใจที่เกิดขึ้นในวันนี้แทบจะรับประกันได้ว่า สหรัฐฯ จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงวิกฤตหนี้ในอนาคตได้เลย”


