ย้ำชัดๆ ทำไมสหรัฐฯ แตกหักกับจีน ฟ้องด้วย "ภาพจำ" เสียเปรียบทุกมิติ
สถานทูตจีนประจำสหรัฐฯ จะใช้สื่อสาธารณะอย่าง infographic สื่อสาร "ภาพเปรียบเทียบ" ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ในหลายมิติ ตั้งแต่เศรษฐกิจ นวัตกรรม เทคโนโลยี เพื่อ “สร้างภาพจำ” ว่าจีนกำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำโลก!
เมื่อพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจอย่าง “สหรัฐอเมริกา” และ “จีน” ในปัจจุบัน ย่อมไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบปกติอีกต่อไป การเผชิญหน้าทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และภูมิรัฐศาสตร์ได้ขยับจากสงครามเย็นรูปแบบใหม่ไปสู่ "การปะทะเชิงยุทธศาสตร์" อย่างชัดเจน โดยเฉพาะหลังจากการเริ่มใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ความตึงเครียดยกระดับขึ้น
ไม่น่าแปลกใจที่สถานทูตจีนประจำสหรัฐฯ จะใช้สื่อสาธารณะอย่าง infographic สื่อสาร "ภาพเปรียบเทียบ" ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ในหลายมิติ ตั้งแต่เศรษฐกิจ นวัตกรรม เทคโนโลยี ไปจนถึงการศึกษาและพลังงาน จุดมุ่งหมายไม่ใช่เพียงเพื่อเผยแพร่ข้อมูล แต่เพื่อ “สร้างภาพจำ” ว่าจีนกำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำโลก ขณะที่สหรัฐฯ กำลังตามหลัง และต้องดิ้นรนเพื่อรักษาตำแหน่งเดิมของตนไว้
จีน: คู่แข่งหรือผู้นำโลกคนใหม่?
จากข้อมูล infographic ที่สถานทูตจีนเผยแพร่ เห็นได้ชัดว่าจีนพยายามเน้นจุดแข็งที่ตนเองมีเหนือสหรัฐฯ เช่น:
- เศรษฐกิจ: จีนกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกในแง่ GDP (PPP) และเป็นแหล่งการผลิตของโลก (world's factory)
- เทคโนโลยี: จีนครองส่วนแบ่งเทคโนโลยี 5G และ AI ในระดับสูง มีบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่เติบโตอย่างรวดเร็ว
- โครงสร้างพื้นฐาน: จีนลงทุนอย่างหนักในโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) สร้างเครือข่ายการเชื่อมต่อทั่วโลก
- พลังงานสะอาด: จีนเป็นผู้นำด้านการผลิตแผงโซลาร์ รถยนต์ไฟฟ้า และพลังงานหมุนเวียน
เมื่อรวมภาพเหล่านี้เข้าด้วยกัน ยิ่งสะท้อนว่า “จีนไม่เพียงแค่ไล่ตามสหรัฐ แต่กำลังจะแซงหน้า” และนั่นคือจุดที่ทำให้สหรัฐฯ ไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป
ตัวอย่างภาพแรกจาก เฟซบุ๊ก Embassy of The People's Republic of China in the United States ในขณะที่จีนอวดศักดานุภาพ ในการผลิตรถไฟหัวกระสุนความเร็วสูงที่มีมากมายหลายรุ่น ทั้งเทคโนโลยีและความเร็ว รถไฟในสหรัฐกลับยังอยู่ในยุคไม่ต่างจากสมัยขุดทอง แถมยังเสื่อมโทรมลงลงไปทุกขณะ
ภาพสองตอกย้ำ ๆ แบบฝังลิ่มทิ่มประตูว่า จีนเป็นมหาอำนาจในด้านการผลิตของโลกของแท้จริง ซึ่งในความจริงจีนก็ครองตำแหน่งนี้มานานกว่า 10 ปีแล้ว และข้อมูลรวมจาก Statistaในปี 2023 ก็พบว่าจีนมีสัดส่วนครองภาคการผลิตโลกนำสหรัฐโด่งถึง 28.9% (สหรัฐฯอันดับสอง 17.2% ส่วนญี่ปุ่นอันดับ 3 ที่ 5.1%) เป็นความแข็งแกร่งที่ไม่ได้มาด้วยความบังเอิญ แต่มาจากปัจจัยหลักหลายประการ เช่น
- ขนาดและโครงสร้างพื้นฐาน จีนได้สร้างเขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ท่าเรือ และห่วงโซ่อุปทานที่ออกแบบมาสำหรับการผลิตในระดับโลก
- กำลังแรงงาน จีนมีแรงงานจำนวนมาก มีทักษะ และมีค่าจ้างที่แข่งขันได้ ซึ่งรองรับการผลิตตั้งแต่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไปจนถึงสิ่งทอ
- การสนับสนุนจากภาครัฐ นโยบายอุตสาหกรรมและเงินอุดหนุน เช่น โครงการ “Made in China 2025” ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับภาคส่วนสำคัญ เช่น หุ่นยนต์ อวกาศ และพลังงานสะอาด
- ห่วงโซ่อุปทานแบบบูรณาการ จีนมีระบบนิเวศน์การผลิตครบวงจรสำหรับหลากหลายอุตสาหกรรม ทำให้ผู้ผลิตสามารถเข้าถึงวัตถุดิบ ชิ้นส่วน และบริการต่างๆ ได้ภายในประเทศเดียว
ต่อมาคือ infographic ที่แสดงให้เห็นว่าใครกันแน่เป็นผู้นำในการแข่งขันด้าน AI
การแข่งขันในเทคโนโลยี AI ที่จีนแซงใครๆ ไปหลายขุมจากข้อมูลการจดสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในภาพรวมของ AI ทั่วไป ในปี 2023 มีการเผยแพร่เอกสารสิทธิบัตรกลุ่ม AI (AI patent family publications) ประมาณ 230,000 รายการ ทั่วโลก ในจำนวนนี้ สิทธิบัตรเฉพาะ GenAI มีราว 14,080 รายการ และสัดส่วนของสิทธิบัตร GenAI เพิ่มขึ้นจาก 4.2% ของทั้งหมดในปี 2017 เป็น 6.1% ในปี 2023 ประเทศที่จดสิทธิบัตร AI สูงสุด (งานที่ได้รับอนุมัติในสหรัฐฯ ปี 2024) คือ
- จีน: เกือบ 13,000 สิทธิบัตร (Granted Patents)
- สหรัฐฯ: 8,609 สิทธิบัตร
ส่วนภาพรวมการแข่งขันระหว่างปี 2010-2023 จีนครองสัดส่วนการจดสิทธิบัตร AI ถึง 69.70% ทิ้งห่างสหรัฐฯ ที่คิดเป็นสัดส่วนเพียง 14.16% ส่วนยุโรปอยู่ที่ 2.77%
มาถึง info ประเทศชั้นนำด้านการวิจัยออกแบบและการผลิตชิป งานทางวิชาการก็ไปไกลด้วยผลงานตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ (ระหว่างปี 2018-2023) เป็นจำนวนถึง 160,852 ชิ้นเทียบกับสหรัฐที่มีเพียง 71,688 ชิ้น และอินเดียที่ 39,709 ชิ้น
จีนครองตลาด E-Commerce ของโลกในปี 2024 ด้วยยอดขายปลีกสูงถึง 30,67.24 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่สหรัฐครองตลาดอยู่ที่ 1199.48 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
จีนครองตลาดมือถือโลกในปี 2024 ด้วยจำนวนการส่งมอบถึง 284.6 ล้านเครื่อง ตามด้วยอินเดีย 155.9 ล้านเครื่อง สหรัฐอยู่ที่เพียง 125 ล้านเครื่อง
การเดินทางเยือนอาเซียนของนักท่องเที่ยวจีนในปี 2023 เป็นจำนวนถึง 10,562,784 คน ตามมาด้วยเกาหลีใต้ที่ 8,370,916 คน สหรัฐอยู่ที่ 4,073,350 คน
สหรัฐ: เมื่อการรักษาอำนาจต้องใช้กลยุทธ์ใหม่
การที่สหรัฐฯ เริ่ม “เปลี่ยนเกม” เช่นการควบคุมเทคโนโลยีไม่ให้ไหลเข้าสู่จีน การห้ามบริษัทสหรัฐทำธุรกิจกับบางบริษัทจีน การตั้งพันธมิตรใหม่เช่น QUAD หรือ AUKUS รวมถึงการย้ายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีน ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการตอบโต้เชิงยุทธศาสตร์ เพื่อ “สกัดกั้นการผงาดขึ้นของจีน”
เพราะหากปล่อยให้จีนแซงหน้าได้โดยไม่ขัดขวาง นั่นหมายถึง “การเปลี่ยนระเบียบโลก” ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบศตวรรษ
เกมนี้จะจบอย่างไร?
ประเด็นสำคัญคือ นี่ไม่ใช่แค่สงครามการค้า แต่มันคือ การต่อสู้เพื่ออำนาจนำของโลก (global leadership) และในเกมนี้ ไม่มีฝ่ายไหนจะยอมถอยง่าย ๆ
- จีน มุ่งสร้าง “ระเบียบโลกใหม่” ที่ไม่ต้องอยู่ใต้กรอบของตะวันตก
- สหรัฐฯ พยายามรักษาระเบียบโลกเดิม ที่ตัวเองสร้างขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
เมื่อเป้าหมายของทั้งสองไม่อาจประนีประนอมได้ง่าย นี่จึงเป็น “เกมยาว” ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
หมายเหตุ: ภาพทั้งหมดที่นำมาเปรียบเทียบมาจาก “ สถานทูตจีนประจำสหรัฐอเมริกา” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้แต่ “การทูต” ยังกลายเป็นเครื่องมือในการต่อสู้เชิงโฆษณาชวนเชื่อ และแสดงอำนาจทางความคิดอย่างชัดเจน นี่ไม่ใช่การทูตแบบดั้งเดิมอีกต่อไป แต่คือ “การทูตเชิงรุก” ที่แสดงให้เห็นว่าจีนพร้อมจะเล่นในเกมโลกอย่างมั่นใจ


