สี จิ้นผิง เยือนเวียดนาม กระชับสัมพันธ์การค้า ต้านภัยภาษีสหรัฐฯ
ท่ามกลางสงครามการค้ากับสหรัฐฯ "ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง" แห่งแผ่นดินใหญ่ได้เดินทางเยือนเวียดนาม หวังกระชับสัมพันธ์การค้าและห่วงโซ่อุปทาน รับมือศึกภาษีทรัมป์
ท่ามกลางมรสุมความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐอเมริกา สำนักข่าว Reuters รายงานว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ได้เดินทางเยือนกรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม ในวันจันทร์ที่ 14 เมษายน 2568
โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อกระชับความสัมพันธ์ด้านการค้าและห่วงโซ่อุปทานกับเวียดนาม ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นการเดินทางเยือน 3 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การเยือนครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญที่จีนกำลังเผชิญกับการตั้งกำแพงภาษีศุลกากรจากสหรัฐฯ สูงถึง 145%
ขณะที่เวียดนามเองก็กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อขอลดหย่อนภาษีศุลกากร 46% ที่สหรัฐฯ ขู่จะบังคับใช้ในเดือนกรกฎาคม หลังจากมาตรการระงับการเก็บภาษีทั่วโลกสิ้นสุดลง
สาส์นจากผู้นำจีน: "สงครามการค้าไม่มีผู้ชนะ"
ก่อนเดินทางถึงเวียดนาม ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ส่งบทความตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ "Nhandan" ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม โดยมีใจความสำคัญว่า
"ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้าและสงครามภาษีศุลกากร ส่วนการกีดกันทางการค้าก็ไม่มีทางออก"
พร้อมเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศ "เสริมสร้างความร่วมมือด้านการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน" รวมถึงขยายการค้าและความร่วมมือในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเศรษฐกิจสีเขียว
เวียดนาม: จุดยุทธศาสตร์ท่ามกลางแรงกดดัน
เวียดนามเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมและการประกอบชิ้นส่วนที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยพึ่งพาการนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่จากจีน ขณะที่สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกหลัก
สินค้าสำคัญที่เวียดนามส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รองเท้า และเครื่องนุ่งห่ม
ภายใต้แรงกดดันจากวอชิงตัน เวียดนามกำลังเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการค้าบางประเภทกับจีน เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ภายใต้ฉลาก "Made in Vietnam" มีการเพิ่มมูลค่าภายในประเทศตามกฎเกณฑ์
ข้อมูลศุลกากรของเวียดนามในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ แสดงให้เห็นว่า เวียดนามนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่าราว 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ มูลค่า 3.14 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งสะท้อนแนวโน้มระยะยาวที่มูลค่าการนำเข้าจากจีนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมูลค่าและการเปลี่ยนแปลงของการส่งออกไปยังสหรัฐฯ
ความร่วมมือทวิภาคี และทางรถไฟเชื่อมสัมพันธ์
การเยือนฮานอยครั้งนี้เป็นครั้งที่สองของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในรอบไม่ถึง 18 เดือน โดยมีเป้าหมายเพื่อตอกย้ำความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งได้รับเม็ดเงินลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์จากจีนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
เนื่องจากผู้ผลิตในจีนย้ายฐานการผลิตลงใต้เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่สหรัฐฯ บังคับใช้ในสมัยรัฐบาลทรัมป์ชุดแรก
รองนายกรัฐมนตรีเวียดนาม กล่าวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า ทั้งสองประเทศซึ่งปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ มีกำหนดจะลงนามข้อตกลงประมาณ 40 ฉบับ ครอบคลุมหลากหลายภาคส่วน
ด้านผู้นำสูงสุดของเวียดนาม ได้กล่าวในบทความที่เผยแพร่ผ่านสื่อของรัฐเมื่อวันจันทร์ว่า เวียดนามต้องการส่งเสริมความร่วมมือด้านกลาโหม ความมั่นคง และโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชื่อมต่อทางรถไฟ
แม้จะยังไม่มีความชัดเจนว่าข้อตกลงเหล่านี้จะมีผลผูกพันและรวมถึงภาระผูกพันทางการเงินหรือไม่ แต่เวียดนามได้ตกลงที่จะใช้เงินกู้จากจีนเพื่อสร้างทางรถไฟสายใหม่เชื่อมระหว่างสองประเทศ
ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและจะช่วยส่งเสริมการค้าและการเชื่อมต่อทวิภาคี อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการประกาศข้อตกลงเงินกู้ดังกล่าวออกมาอย่างเป็นทางการ
นอกจากนี้ จีนยังต้องการให้เวียดนามอนุมัติการใช้งานเครื่องบิน COMAC ซึ่งเป็นเครื่องบินพาณิชย์ที่จีนผลิตเอง แต่ยังคงประสบปัญหาในการหาผู้ซื้อในต่างประเทศ
แม้จะมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้น แต่ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศก็มักปะทุขึ้นเป็นระยะ โดยเฉพาะประเด็นข้อพิพาทเรื่องเขตแดนในทะเลจีนใต้
ขณะเดียวกัน การที่เวียดนามยอมผ่อนปรนต่อข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษี อาจสร้างความไม่พอใจให้กับจีนได้เช่นกัน
ประเด็นเหล่านี้รวมถึงการอนุญาตให้ใช้บริการสื่อสารผ่านดาวเทียม Starlink ของ Elon Musk ในเวียดนาม และการปราบปรามการค้ากับจีนบางส่วนที่ต้องสงสัยว่ามีการฉ้อโกง
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เวียดนามยังได้ใช้มาตรการภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดกับผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าหลายรายการจากจีน
และยกเลิกการยกเว้นภาษีสำหรับพัสดุมูลค่าต่ำ ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลระบุว่าเป็นความเคลื่อนไหวเพื่อลดการไหลเข้าของสินค้าราคาถูกจากจีน
ทั้งนี้ หลังจากการเยือนเวียดนามระหว่างวันที่ 14-15 เมษายน ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีกำหนดเดินทางเยือนมาเลเซียและกัมพูชาต่อไปในวันที่ 15-18 เมษายน
ซึ่งทั้งสองประเทศนี้ก็กำลังเผชิญกับแรงกดดันด้านภาษีจากสหรัฐฯ เช่นกัน โดยมาเลเซียเผชิญภาษี 24% และกัมพูชา 49% และต่างก็เริ่มดำเนินการติดต่อกับสหรัฐฯ เพื่อหาทางออกแล้ว
การเดินทางเยือนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของผู้นำจีนในครั้งนี้ จึงไม่เพียงแต่เป็นการกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคี
แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงความพยายามของจีนในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการค้าในภูมิภาค ท่ามกลางความผันผวนของสถานการณ์การค้าโลก