posttoday

กองทุน ESG เผชิญกับความต้องการที่ลดลง แม้หุ้นเทคโนโลยีจะมีผลตอบแทนสูงขึ้น

25 ธันวาคม 2566

กองทุนยั่งยืน (ESG funds) เผชิญกับความต้องการทั่วโลกที่ชะลอตัวลงอย่างมากในปี 2566 ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองและความกังวลเกี่ยวกับ "การฟอกเขียว" แม้ว่าหุ้นส่วนหนึ่งจะทำผลกำไรได้ดี จากการฟื้นตัวของหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีช่วยหนุนผลตอบแทน

การลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2563 และ 2564 ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เนื่องจากราคาน้ำมันที่ตกต่ำ ได้กระตุ้นให้นักลงทุนจำนวนมากขึ้นกระจายการลงทุนนอกเหนือจากเชื้อเพลิงฟอสซิล และในขณะที่ผู้จัดการกองทุนพยายามที่จะแสดงตัวตนว่าคำนึงถึงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น แต่หุ้นกลุ่มนี้เริ่มไม่ได้รับความนิยมในปี 2566 เนื่องจากราคาพลังงานทั่วไปเพิ่มสูงขึ้น

การโจมตีทางการเมืองต่อกองทุน ESG ที่นำโดยนักการเมืองพรรครีพับลิกันในสหรัฐอเมริกา รวมถึงการสงสัยว่ามีการฟอกเขียวที่เกี่ยวข้องกับการกล่าวอ้างที่ไม่ได้รับการยืนยัน ยังทำให้ความสดใสของกองทุน ESG มัวหมองอีกด้วย "การฟอกเขียว" หมายถึงบริษัทที่กล่าวอ้างที่เป็นเท็จหรือหลอกลวง เกี่ยวกับประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ บริการ หรือนโยบายของตน

ข้อมูลจาก LSEG Lipper แสดงให้เห็น กองทุนทั่วโลกที่จัดอยู่ในประเภท "การลงทุนอย่างรับผิดชอบ" บันทึกเงินฝากใหม่สุทธิ 68 พันล้านดอลลาร์ในปี 2566 จนถึงวันที่ 30 พ.ย. ซึ่งลดลงอย่างรวดเร็วจาก 158 พันล้านดอลลาร์ในปี 2565 และจาก 558 พันล้านดอลลาร์ในปี 2564

กองทุน ESG เผชิญกับความต้องการที่ลดลง แม้หุ้นเทคโนโลยีจะมีผลตอบแทนสูงขึ้น

กองทุนต่างๆยังมีการไหลเข้าของเงินทุน แม้ว่านักการเมืองพรรครีพับลิกันของสหรัฐฯ จะถอนเงินของรัฐหลายพันล้านดอลลาร์จากหลายกองทุนขนาดใหญ่ รวมถึงยื่นร่างกฎหมายที่มีเป้าหมายเพื่อลดการใช้เกณฑ์ ESG แต่ร่างกฎหมายส่วนใหญ่ไม่กลายผ่านความเห็นชอบจากสภา จากความกังวลว่าร่างกฎหมายอาจส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนของระบบบำนาญของรัฐ และการถูกกดดันจากกลุ่มอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานของกองทุนประเภทนี้ มักจะสูงกว่าตลาดในภาพรวม โดยได้รับแรงหนุนจากการลงทุนอย่างหนักในหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งรวมถึงหุ้น "Magnificent 7" บางตัว เช่น Apple และ Alphabet ซึ่งปรับตัวขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ดัชนีความยั่งยืนโลกของดาวโจนส์ (.W1SGIGTD) มีผลตอบแทนรวม 21.7% ตั้งแต่ต้นปีถึงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ดัชนีย่อยที่มุ่งเน้นความยั่งยืนของ S&P Global Broad Market Index (.SBBMGLU) ซึ่งมีผลตอบแทนรวม 17%

ในปี 2022 ดัชนีความยั่งยืนดังกล่าวทำได้ดีกว่าตลาดในวงกว้าง แม้ว่านักลงทุนจะสูญเสียเงินก็ตาม โดยมีผลตอบแทนรวมติดลบ 15.6% ในขณะที่ดัชนีกว้างมีผลตอบแทนรวมติดลบ 20%

ข่าวล่าสุด

3 ชาติผนึกกำลังทลาย 'KK Park - ชเวก๊กโก' รังใหญ่ "แก๊งคอลเซ็นเตอร์"