EIA คาด ระดับการใช้พลังงานทั่วโลกพุ่งภายในปี 2050
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เผยว่า ระดับการใช้พลังงานทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นภายในปี 2050 ขณะที่ความก้าวหน้าด้านประสิทธิภาพพลังงานอาจพัฒนาไปในระดับที่ช้ากว่า
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ระบุว่า ภายในปี 2050 การเพิ่มขึ้นของประชากรโลก, การผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการในระดับภูมิภาค และมาตรฐานการครองชีพที่สูงขึ้น จะส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงานมีสูงขึ้น รวมถึงปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นตาม โดยกำลังการผลิตไฟฟ้าทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 50% - 100% ขณะที่การผลิตไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น 30% - 76%
แหล่งพลังงานที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น พลังงานนิวเคลียร์และพลังงานหมุนเวียน จะมีส่วนช่วยผลิตพลังงานได้มากขึ้นจนถึงปี 2050 แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกลง โดยมีปัจจัยจากกฎหมายและข้อบังคับของประเทศต่างๆในปัจจุบัน
ตามรายงานของ EIA การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและพลังงานนิวเคลียร์สามารถผลิตไฟฟ้าได้มากถึง 2 ใน 3 ของอัตราการผลิตไฟฟ้าทั่วโลกภายในปี 2050 ส่วนพลังงานแสงอาทิตย์และลมจะมีส่วนทำให้การผลิตไฟฟ้าเติบโตในระดับสูงสุด
ขณะเดียวกัน คาดว่าพลังงานจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติจะมีส่วนในการผลิตไฟฟ้าราว 27% - 38% ในปี 2050 ซึ่งลดลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับปี 2022
นอกจากนี้ เทคโนโลยี Zero-carbon จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้กำลังการผลิตทั่วโลกเติบโตได้มากที่สุด
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าคาดว่ายอดขายจะสูงถึง 2 พันล้านคันภายในปี 2050 ส่วนรถยนต์สันดาปจะมียอดขายสูงสุดระหว่างปี 2027-2033
ทั้งนี้ คาดว่าตะวันออกกลางและอเมริกาเหนือจะเพิ่มอัตราการผลิตและส่งออกก๊าซธรรมชาติเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ยุโรปตะวันตกและเอเชียจะยังคงเป็นผู้นำเข้าก๊าซธรรมชาติ นอกจากนี้ความต้องการทางพลังงานจากจีน, อินเดีย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, และแอฟริกาจะส่งผลต่อการผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ


