วิธีการฉีดวัคซีนโควิด ช่วยย่นเวลารับยารักษามะเร็งเหลือ 7 นาที
การระบาดของโควิด-19 สร้างผลกระทบต่อผู้คนในหลายด้าน กระนั้นก็ช่วยยกระดับเทคโนโลยีและเทคนิคการแพทย์มากมาย หนึ่งในนั้นคือวิธีการฉีดยา เมื่อล่าสุดเริ่มมีการนำวิธีฉีดวัคซีนโควิดไปใช้กับยารักษามะเร็ง ช่วยลดเวลาเวลารับยาให้เหลือเพียง 7 นาที
การระบาดของโควิด-19 เป็นฝันร้ายสำหรับใครหลายคน ผลพวงที่ตามมาจากการแพร่ระบาดทิ้งบาดแผลไว้มากมาย ทั้งในด้านสุขภาพ จิตใจ หรือแม้แต่ชีวิต หลายท่านต่างเจ็บป่วยหรือสูญเสียคนรอบข้างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยังคงได้รับผลกระทบจากส่วนนั้นจนไม่อยากหยิบยกมาพูดถึง
แต่เราปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าในช่วงเวลาแพร่ระบาด การแพทย์ถือเป็นสาขาที่ถูกยกระดับชนิดก้าวกระโดด เพื่อนำมนุษยชาติฝ่าออกจากทางตันจึงมีการทุ่มงบประมาณและแรงงานมากมาย นำไปสู่การพัฒนาความรู้ความเข้าใจทางเวชศาสตร์หลายแขนงอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดจึงเริ่มมีการนำวิธีฉีดวัคซีนโควิดไปใช้กับการจ่ายยาภูมิคุ้มกันบำบัดรักษามะเร็งจนเสร็จสิ้นในเวลาเพียง 7 นาที
ภูมิคุ้มกันบำบัด อีกหนึ่งแนวทางรักษามะเร็ง
ก่อนอื่นคงต้องย้อนมาพูดถึงกันเล็กน้อย หลายท่านอาจคุ้นเคยวิธีรักษามะเร็งโดยอาศัยการฉายแสง เคมีบำบัด หรือผ่าตัดเป็นหลัก แต่อันที่จริงยังมีอีกหนึ่งแนวทางรักษาที่ได้รับความนิยมมากขึ้น เป็นตัวเลือกใหม่ที่อาจเข้ามาเปลี่ยนแปลงแนวทางรักษามะเร็งที่เคยมี นั่นคือแนวทางรักษาที่ถูกเรียกว่า ภูมิคุ้มกันบำบัด
ที่ผ่านมาเมื่อเกิดเซลล์มะเร็งขึ้นจนเริ่มลุกลามภายในร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันจะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแบบการเจ็บป่วยชนิดอื่น สาเหตุมาจากมะเร็งคือเซลล์ภายในร่างกายเราเองที่เกิดการผิดปกติหรือทำงานผิดพลาด โดยมากระบบภูมิคุ้มกันจึงไม่สามารถตอบสนองได้ดีนัก
การรักษาแบบภูมิคุ้มกันบำบัดจึงเข้าไปช่วยในจุดนี้ โดยการกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้นกัน ให้สามารถตอบสนองและทำลายเซลล์ที่ผิดปกติจากมะเร็งภายในร่างกายโดยตรง รวมถึงช่วยระบุความผิดปกติของเซลล์มะเร็งซึ่งหลบซ่อนจากระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้สามารถขจัดและทำลายเซลล์มะเร็งได้อย่างแม่นยำ
จุดเด่นของการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดคือ สร้างผลกระทบต่อร่างกายน้อยมาก ด้วยกลไกที่ทำงานคือระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย จึงสามารถขจัดเซลล์มะเร็งได้โดยแทบไม่เกิดผลกระทบ มีผลข้างเคียงเพียงแค่อาการไข้, คลื่นไส้, ท้องเสีย ที่เป็นกลไกปกติของร่างกายเท่านั้น
อย่างไรก็ตามภูมิคุ้มกันบำบัดเป็นแนวทางรักษาใหม่ ขอบเขตใช้งานจำกัดเพียงมะเร็งที่ยังอยู่ในระยะไม่ลุกลามเป็นหลัก อีกทั้งแม้จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบทางสุขภาพมากเท่าวิธีรักษาแบบเก่า แต่ก็ต้องใช้เวลาในการจ่ายยาให้แก่ผู้ป่วยนานนับชั่วโมง ไม่ต่างจากการรักษาแบบเดิมนัก
แต่ล่าสุดมีการอนุมัติแนวทางการจ่ายยาภูมิคุ้มกันบำบัดแบบใหม่ที่ช่วยย่นเวลารับยาให้เหลือ 7 นาที
แนวทางจ่ายยารักษามะเร็งเสร็จสิ้นใน 7 นาที
แนวคิดนี้ได้รับการอนุมัติจากองค์กร National Health Service (NHS) ของสหราชอาณาจักร ที่ได้อนุมัติวิธีการฉีดยาแบบใหม่ให้แก่ผู้ป่วยมะเร็ง โดยจะเริ่มเปลี่ยนแนวทางการจ่ายยา Atezolizumab หรือ Tecentriq จากช่องทางหลอดเลือดดำ มาเป็นการฉีดยาเข้าใต้ชั้นผิวหนังซึ่งจะช่วยย่นระยะเวลารับยาให้เหลือเพียง 7 นาที
เชื่อว่าทุกท่านคงรู้จักการ ฉีดยาเข้าใต้ชั้นผิวหนัง กันมาบ้าง ถือเป็นแนวทางการฉีดยาที่ก่อนหน้านี้อาจไม่ได้มีการใช้งานบ่อยนัก แต่ได้รับความนิยมมากขึ้นภายหลังจากการแพร่ระบาด ภายใต้นโยบายเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อรักษาชีวิตของผู้คนและผลักดันสังคมให้กลับสู่ภาวะปกติ
เดิมการฉีดยามักทำผ่านชั้นกล้ามเนื้อหรือหลอดเลือดเป็นหลัก เพื่อให้สะดวกต่อการไหลเวียนโลหิตในร่างกาย แต่วัคซีนโควิด-19 ในช่วงเวลานั้น การฉีดเข้ากล้ามเนื้อมักทำให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงกว่า จึงเริ่มมีการผลักดันให้ฉีดยาเข้าใต้ชั้นผิวหนังซึ่งจะลดผลข้างเคียงลงอย่างมาก
ปัจจุบันการรักษาผ่านระบบภูมิคุ้มกันบำบัดเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น โดยมีการจ่ายยา Atezolizumab ผ่านช่องทางหลอดเลือดดำแบบที่ใช้ในยารักษามะเร็งทั่วไป ซึ่งนอกจากต้องตามหาหลอดเลือดดำทุกครั้งที่ทำการรักษา ระยะเวลาในการจ่ายยายังยาวนานถึง 1 ชั่วโมง
ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มมีการนำยา Atezolizumab มาจ่ายผ่านทางใต้ชั้นผิวหนัง ก่อนพบว่าแนวทางนี้ช่วยให้สามารถจ่ายยาปริมาณเท่ากันได้ภายใน 7 นาที โดยไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อร่างกาย ช่วยให้การดูแลรักษาและจ่ายยาให้แก่ผู้ป่วยสะดวกรวดเร็วและคล่องตัวขึ้นหลายเท่า
ด้วยการจ่ายยารูปแบบใหม่นี้ช่วยให้แพทย์สามารถรองรับการรักษาได้มากขึ้น สอดคล้องกับอัตราขยายตัวจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี นอกจากนี้ยังช่วยให้การดูแลรักษาทำได้ง่ายและครอบคลุม อีกทั้งยังประหยัดเวลาให้ผู้ป่วยไม่ต้องนั่งรอจ่ายยาผ่านหลอดเลือดดำเป็นชั่วโมงอีกต่อไป
ล่าสุดแนวทางจ่ายยา Atezolizumab ผ่านการฉีดยาเข้าใต้ชั้นผิวหนัง เริ่มทำในกลุ่มผู้ป่วยใหม่แล้วกว่า 3,600 ราย และจะเริ่มทยอยเปลี่ยนผู้ป่วยที่รักษาภูมิคุ้มกันบำบัดให้ใช้งานการฉีดยาแบบนี้ทั้งหมดในไม่ช้า ยกเว้นเพียงกลุ่มที่ได้รับยานี้พร้อมกับทำเคมีบำบัดที่อาจยังต้องรับยาผ่านหลอดเลือดดำเช่นเดิม
กระนั้นการฉีดยาภูมิคุ้มกันบำบัดเข้าใต้ชั้นผิวหนังนี้จะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งทั่วโลกได้อีกมากทีเดียว
แน่นอนนี่ไม่ใช่องค์ความรู้ที่ได้รับจากการระบาดโควิดเพียงอย่างเดียว ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีผลิตวัคซีน mRNA เองก็เป็นรากฐานในการพัฒนาวัคซีนอีกหลายชนิด รวมไปถึงวัคซีนป้องกันมะเร็งชนิดต่างๆ ที่ยังอยู่ในขั้นทดสอบ และคาดว่าอาจสามารถทดลองทางคลินิกได้ภายในปี 2030 ต่อไป
ที่มา
https://www.roche.co.th/solutions/focus-areas/oncology/cancer-immunotherapy
https://www.bumrungrad.com/th/treatments/immunotherapy
https://www.hfocus.org/content/2021/09/23150