จีนทุ่มงบลดหย่อนภาษี หวังกระตุ้นยอดขายรถ EV
จีนเสนอแผนลดหย่อนภาษีกว่า 520 พันล้านหยวน เพื่อกระตุ้นยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รวมถึงรถยนต์ประเภทอื่นๆที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับอีก 4 ปีข้างหน้า เพื่อประคองอุปสงค์รถยนต์ที่ลดลง
ข้อเสนอดังกล่าวได้รับการคาดหวังในวงกว้าง หลังภาครัฐให้คำมั่นว่าจะส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยข้อเสนอนี้เกิดขึ้นหลังจากยอดขายในตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกเริ่มลดลง และทำให้เกิดความกังวลว่าอาจกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
กระทรวงการคลังได้ระบุในแถลงการณ์ว่า รถยนต์ที่ใช้พลังงานในรูปแบบใหม่ (NEV) ที่ซื้อในช่วงปี 2024 และ 2025 จะได้รับการยกเว้นภาษีซื้อสูงถึง 30,000 หยวนต่อคัน และการยกเว้นภาษีจะลดลงเหลือครึ่งหนึ่งสำหรับการซื้อในปี 2026 และ 2027 โดยมูลค่าการลดหย่อนภาษีทั้งหมดจะอยู่ที่ 520,000 ล้านหยวน
การดำเนินการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนขยายนโยบายรถยนต์ที่ใช้พลังงานในรูปแบบใหม่ (NEV) ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่ทั้งหมด (EVs) รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด และรถพลังงานไฮโดรเจน หรือ รถยนต์ไฟฟ้าเซลเชื้อเพลิง ที่จะได้รับการยกเว้นภาษีซื้อจนถึงสิ้นปี 2023
หลังภาครัฐประกาศแนวทางดังกล่าว ส่งผลให้หุ้นของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีน อย่าง NIO และ Xpeng พุ่งขึ้น 6.1% และ 5.5% ตามลำดับ เทียบกับดัชนีมาตรฐานหุ้นหลักของฮ่องกงที่ลดลง 2.4%
ทางการจีนได้สนับสนุนและส่งเสริมการใช้รถยนต์ที่ใช้พลังงานในรูปแบบใหม่ (NEV) อย่างหนักในปีก่อนหน้านี้เพื่อลดมลภาวะทางอากาศ โดยให้สิทธิประโยชน์กับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศเช่น Li Auto, NIO และ BYD ซึ่งการให้สิทธิประโยชน์ตามแนวทางนี้ทำให้รถยนต์ที่ใช้พลังงานในรูปแบบใหม่ (NEVs) ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นและช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศจีน
Susan Zou รองประธานของนักวิจัย Rystad Energy กล่าวว่า คาดว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตขึ้น 30% ในปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดิมที่ 15% ในปีนี้
ข้อมูลจากสมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของจีน แสดงให้เห็นว่ายอดขายรถยนต์ที่ใช้พลังงานในรูปแบบใหม่ (NEV) เพิ่มขึ้น 10.5% ในเดือนพฤษภาคมจากเดือนก่อนหน้านี้ และเพิ่มขึ้นถึง 60.9% จากเดือนเดียวกันในปีก่อนหน้า ซึ่งในช่วงเวลานั้นยังมีข้อจำกัดเกี่ยวกับโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตและการขายรถยนต์
ทั้งนี้ การประกาศนโยบายต่อเวลาการยกเว้นภาษีในครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 4 หลังจากที่เคยประกาศในปี 2014 และต่อเวลาเพิ่มไปในปี 2017, 2020 และ 2022


