พระมหาเทวี ผู้ลุกขึ้นมากอบกู้ศักดิ์ศรีและแผ่นดิน
พระมหาเทวีแห่งเมืองยองห้วยที่ลุกขึ้นมากอบกู้แผ่นดินชาวไทใหญ่ หลังการก่อรัฐประหารในเมียนมาที่คร่าชีวิตและอิสรภาพของเจ้าฟ้าไทใหญ่เป็นจำนวนมาก
พระมหาเทวีแห่งยองห้วย หรือเจ้านางเฮือนคำ เป็นธิดาของเจ้าฟ้าขุนส่างต้นฮุง วีรบุรุษแห่งเมืองแสนหวีของรัฐฉานและเจ้าฟ้าคนที่ 65 ของรัฐฉาน และเป็นน้องสาวของเจ้าห่มฟ้า
เมื่อเติบโตขึ้นเจ้านางเฮือนคำได้แต่งงานกับเจ้าส่วยไตก์ เจ้าฟ้าองค์ที่ 23 และองค์สุดท้ายของยองห้วย และได้รับการสถาปนาเป็นพระมหาเทวีเจ้าแห่งยองห้วย
เจ้าส่วยไตก์เป็นนักการเมืองจากรัฐฉานที่เป็นที่นับหน้าถือตาในเมียนมา เจ้าส่วยไตก์และเจ้านางเฮือนคำได้เข้าร่วมการเจรจาข้อตกลงปางหลวงในปี 1946-1947 ซึ่งทำขึ้นระหว่างนายพล ออง ซาน บิดาของออง ซาน ซู จี และผู้นำชนกลุ่มน้อยจากรัฐฉาน คะฉิ่น และชิน
และหลังจากเมียนมาได้รับเอกราชจากอังกฤษ เจ้าส่วยไตก์ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหภาพพม่าเมื่อวันที่ 4 ม.ค. 1948 เจ้านางเฮือนคำจึงได้เป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของประเทศ
นอกจากนี้ เจ้านางเฮือนคำยังนั่งตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแสนหวีในปี 1956-1960 ซึ่งได้รับความเคารพยำเกรงจากประชาชนชาวแสนหวีเป็นอย่างมาก ทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการอภิปรายในสภาภายใต้การบริหารของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี อู นุ
แต่แล้วเหตุการณ์เกิดพลิกผันเมื่อนายพล เน วิน ทำการรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อวันที่ 2 มี.ค. 1962 ครอบครัวของเจ้านางเฮือนคำถูกไล่เช็กบิลหนักที่สุด มีคำสั่งให้จับกุมตัวเจ้าส่วยไตก์ไปขังคุก
การบุกจับตัวครั้งนี้ยังส่งผลให้ลูกชายวัย 17 ปีของเจ้านางเฮือนคำและเจ้าส่วยไตก์พลอยถูกสังหารไปด้วย
หลังจากเจ้าส่วยไตก์เสียชีวิตในเรือนจำในเดือน พ.ย. 1962 เจ้านางเฮือนคำตัดสินใจหนีการไล่ล่าของนายพล เน วิน อย่างไม่คิดชีวิต ด้วยการพาลูกชาย 5 คนที่เหลือว่ายน้ำหนีข้ามมายังประเทศไทยก่อนจะลี้ภัยต่อไปยังแคนาดา
ขณะที่อยู่ระหว่างลี้ภัยเจ้านางเฮือนคำได้สร้างเครือข่ายต่อสู้เพื่อชาวไทใหญ่ในรัฐฉาน และเจ้านางกับลูกชายคือ เจ้าช้างยองห้วย ร่วมกันก่อตั้งสภาสงครามรัฐฉาน (SSWC) ในปี 1964 และกองทัพรัฐฉาน (SSA) ที่เชียงใหม่ โดยเจ้านางนั่งเก้าอี้ประธาน SSWC
เจ้านางเฮือนคำเสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2003 ขณะลี้ภัยอยู่ในแคนาดาในวัย 86 ปี


