posttoday

ส่องกระแสต่อต้าน “สูตรความสำเร็จ” ของ แจ็ก หม่า

01 กันยายน 2564

หลักการทำงานวันละ 12 ชั่วโมง หรือ 996 ที่บริษัทเทคหลายแห่งในจีนเคยใช้ก่อนหน้านี้เจอกระแสต่อต้านพร้อมๆ กับความตกต่ำของ แจ็ก หม่า เจ้าของสูตรนี้   

เมื่อปี 2019 แจ็ก หม่า พูดถึงวัฒนธรรมการทำงานแบบ 996 คือ ทำงานตั้งแต่ 09.00-21.00 น. เป็นเวลา 6 วันต่อสัปดาห์ ไว้ว่าตัวเขาไม่เคยเสียใจที่ต้องทำงานวันละ 12 ชั่วโมง และบอกอีกว่า “ส่วนตัวผมคิดว่า 996 เป็นพรที่ยิ่งใหญ่ คุณจะประสบความสำเร็จตามที่ต้องการได้อย่างไรถ้าไม่ทุ่มเทความพยายามและเวลา”

หม่ายังบอกอีกว่าคนที่อยากทำงานกับ Alibaba ต้องพร้อมที่จะทำงานวันละ 12 ชั่วโมงหากอยากประสบความสำเร็จ “ไม่งั้นจะมาสมัครงานที่นี่ให้เหนื่อยทำไมล่ะ เราไม่ได้ขาดแคลนคนที่ทำงาน 8 ชั่วโมงได้อย่างสบายใจ”

และยังบอกว่า “การทำงานแบบ 996 ไม่ใช่การทำงานล่วงเวลา ทุกคนมีสิทธิเลือกชีวิตของตัวเอง แต่คนที่ทำงานน้อยกว่าจะไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสความสุขและผลตอบแทนจากการทำงานหนัก”

ขณะนั้นบริษัทเทคใหญ่ๆ อีกหลายแห่งก็ใช้วัฒนธรรมการทำงานหนักเช่นนี้ อาทิ ริชาร์ด หลิว ผู้ก่อตั้ง JD.com คู่แข่งของ Alibaba ที่ตำหนิพนักงานที่ไม่ทำงานหนักพอตามที่บริษัทต้องการว่า “คนขี้เกียจ”

วัฒนธรรมนี้คงอยู่ได้ด้วยความเชื่อที่ว่าการทำงานหนักจะทำให้บริษัทประสบความสำเร็จแซงหน้าคู่แข่ง ส่วนตัวพนักงานเองก็จะได้ค่าตอบแทนสูงๆ ช่วยขยับระดับชั้นทางสังคม ถือว่าวิน-วินกันทั้งสองฝ่าย และรัฐบาลจีนในขณะนั้นก็ทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง

จนกระทั่งช่วงต้นปีที่ผ่านมา ประเด็นการใช้งานพนักงานหนักเกินไปของบริษัทเทคในจีนถูกหยิบยกมาพูดถึงในวงกว้าง หลังจากพนักงานอย่างน้อย 2 ของแอพพลิเคชันพินตัวตัว (Pinduoduo) เสียชีวิตอันเนื่องมาจากการทำงาน โดยคนหนึ่งเป็นผู้หญิงวัย 23 ปีหมดสติระหว่างเดินกลับบ้านกับเพื่อนร่วมงานตอนตีหนึ่งครึ่งและไม่ฟื้นกลับมาอีกเลย ส่วนอีกคนหนึ่งฆ่าตัวตาย

กระแสยี้ 996 หนักๆ จึงเกิดขึ้นนับตั้งแต่นั้น แต่วัฒนธรรมนี้ก็ยังไม่หมดไปอยู่ดี

นิโคล หญิงสาวรายหนึ่งที่จบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยในอังกฤษแล้วกลับมาทำงานในบริษัทเทคในเซินเจิ้นเผยกับสำนักข่าว Vice ว่า เธอทำงานตั้งแต่ 09.00-21.00 น. และช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะต้องทำไปจนถึงอย่างน้อย 23.30 น. หรือเที่ยงคืน และหลังจากเลิกงานกลับถึงบ้านแล้วก็ยังต้องทำงานต่อ ทั้งยังต้องพร้อมรับโทรศัพท์เกี่ยวกับเรื่องงานตลอด 24 ชั่วโมงไม่เว้นแม้แต่ในวันหยุด ซึ่งอันหลังนี้บริษัทไม่ได้บอกไว้ตอนสัมภาษณ์งาน

หวัง ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์และการจัดการจากมหาวิทยาลัย South China Normalg เผยกับ Vice ว่า ค่าตอบแทนของพนักงานบริษัทในจีนต่ำกว่าในสหรัฐ และในวัฒนธรรมจีนหากคนที่มาจากครอบครัวชนชั้นกลางไม่ทำงานหนักมากพอก็อาจตกลงไปอยู่ในกลุ่มชนชั้นล่างได้ง่ายๆ ดังนั้นคนจีนจึงถูกสภาพสังคมบีบบังคับให้ทำงานหนัก และต้องก้มหน้ารับการทำงานแบบ 996 ไปโดยปริยาย

Vice รายงานว่า นอกจากแรงกดดันจากสังคมแล้ว การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เข้มงวดทำให้วัฒนธรรม 996 ไม่หมดไปจากสังคมจีน โดยแม้กฎหมายแรงงานของจีนจะระบุว่าให้ทำงานไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง หรือสัปดาห์ละ 44 ชั่วโมง รวมทั้งต้องจำกัดชั่วโมงการทำงานนอกเวลา แต่หลายบริษัทก็ยังใช้กฎ 996 กับพนักงานต่อไป

ทว่า มีคนรุ่นใหม่อีกไม่น้อยที่เลือกหันหลังให้กับบริษัทที่ใช้งานหนักเกินควรแม้จะได้ค่าตอบแทนสูงก็ตาม โดยให้เหตุผลว่าพวกเขาต้องการความสุขมากกว่าเงิน

ล่าสุดหลังจากไล่เช็กบิลบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ รวมทั้ง Alibaba ของ แจ็ก หม่า ที่ไม่ใช่ลูกรักของรัฐบาลจีนแล้ว สีจิ้นผิงก็ทำท่าว่าจะหันมาจัดการกับวัฒนธรรม 996 ที่ไม่เป็นธรรมกับพนักงาน ทั้งยังอาจเป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มจำนวนประชากรของจีนอย่างที่สีจิ้นผิงต้องการด้วย เนื่องจากคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานจนไม่เหลือแรงผลิตทายาท

เมื่อเร็วๆ นี้ ศาลฎีการ่วมกับกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และประกันสังคมออกแถลงการณ์ประณามวัฒนธรรม 996 ยาวเหยียดซึ่งพอสรุปได้ว่า พนักงานมีสิทธิ์ในการพักผ่อนและลางาน และย้ำว่าการยึดมั่นในระบบชั่วโมงการทำงานตามกฎหมายเป็นหน้าที่ของนายจ้าง ทั้งยังมีคำพิพากษาให้บริษัทจ่ายเงินชดเชยแก่ครอบครัวของพนักงานที่เสียชีวิตอันเนื่องจากการทำงาน 400,000 หยวน

นอกจากทางการจะขยับแล้ว คนรุ่นใหม่ของจีนยังลุกขึ้นมาประท้วงวัฒนธรรมการทำงานหนักซึ่งพวกเขามองว่าเป็นการเรียกร้องมากเกินไปไม่เหมาะสมกับค่าตอบแทนด้วยการชวนกัน “อู้งาน” หรือที่ภาษาจีนเรียกว่า โมหยี๋ (แปลตรงตัวว่าจับปลา) ซึ่งมาจากสำนวนจีนว่า “น้ำขุ่นทำให้จับปลาง่าย” หมายความว่าให้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส

การอู้งาน (แบบไม่เป็นทางการ) ที่คนรุ่นใหม่ชักชวนกันทำ อาทิ ลุกไปยืดเส้นยืดสายในห้องครัวของออฟฟิศ ใช้กระดาษชำระของบริษัทให้มากที่สุด ส่งงานคุณภาพปานกลาง อยู่ในห้องน้ำนานๆ เล่นเกมในสมาร์ทโฟน หรือไม่ทำงานเกินเวลา เป็นต้น

ทว่าการประท้วงแบบเงียบๆ นี้ก็เสี่ยงทำให้พวกเขาถูกไล่ออกจากงาน อัลเลน เหอ ผู้จัดการอาวุโสของบริษัทด้านการเงินในเซี่ยงไฮ้เผยกับ Inkstone ว่า “เรามีพนักงานใหม่ทุกปี บางคนก็โดดเด่น แต่บางคนก็อู้งาน แต่ส่วนใหญ่ตั้งใจทำงาน พนักงานที่ขี้เกียจจะพบว่าตัวเองมีช่องว่างกว้างขึ้นๆ เมื่อเทียบกับพนักงานคนอื่นที่ขยัน สุดท้ายพวกเขาก็จะถูกไล่ออก”

แต่เจ้าของบัญชีเวยปั๋วที่ใช้ชื่อว่า Blogger Massage Bear บอกว่า ถึงถูกเจ้านายต่อว่าว่าอู้งานหรือบ่นว่าไม่รับผิดชอบก็จะยิ้มให้และไม่โกรธเจ้านาย และจะไม่ลาออกเองด้วย และถ้าเจ้านายไล่ออก พนักงานก็จะได้เงินชดเชย (กฎหมายแรงงานจีนกำหนดว่าหากบริษัทไล่พนักงานออกโดยไม่มีเหตุผลสมควร บริษัทต้องจ่ายเงินชดเชยเท่ากับจำนวนของเงินเดือนคูณด้วยจำนวนปีที่ทำงาน แล้วบวกเพิ่มอีก 1 เดือน)

ส่วน เจนนิเฟอร์ เฟิง หัวหน้าฝ่ายทรัพยากรมนุษย์จากเว็บไซต์หางาน 51job.com เผยกับ Inkstone ว่า พนักงานส่วนใหญ่ที่เกิดในช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 ยึดแนวทางการทำงานเดิมคือ ต้องอดทนกับความยากลำบาก ส่วนคนที่เกิดในทศวรรษ 1990 มีอีกแนวทางหนึ่งนั่นคือ ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของตัวเองเป็นอันดับแรก

เราจึงได้เห็นคนจีนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาประท้วงด้วยการอู้งานมากขึ้น

AFP PHOTO / FABRICE COFFRINI

ข่าวล่าสุด

LIVE ถ่ายทอดสด บุรีรัมย์ พบ การท่าเรือ ฟุตบอลไทยลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68