posttoday

คนเห็นต่างไม่ใช่คนโง่ เพราะเราต่างก็โง่เรื่องการเมือง

19 สิงหาคม 2563

สิ่งที่เรียกว่า "อิกนอแร้น" ทางการเมืองคือคุณสมบัติที่พวกเรามีอยู่ด้วยกันทุกคน ไม่ว่าเราจะรู้มากหรือรู้น้อยก็ตาม

1. ก่อนหน้านี้โพสต์ทูเดย์รายงานว่าการทำ Three Finger Salute (วันทยาหัตถ์สามนิ้ว) ของขบวนการ "ปลดแอก" ต่างๆ ในบ้านเราเป็นการเลียนแบบท่าทางจากภาพยนต์/นิยายไตรภาค The Hunger Games

2. ในขณะเดียวกันมีบางกลุ่มบอกว่าการชูสามนิ้วเป็นตัวแทนของ "สามหลักการ" ของการปฏิวัติฝรั่งเศส คือเสรีภาพ ภราดรภาพ และสมภาพ แนวคิดนี้มีการพูดถึงกันมาตั้งแต่ช่วงแรกของขบวนการต่อต้านรัฐประหารปี 2557

3. แต่ในการปฏิวัติฝรั่งเศสไม่มีการชูสามนิ้วแสดงหลักการอะไรทั้งสิ้น มันจึงเป็นประดิษฐกรรมของขบวนการในไทยที่ผสมปนเประหว่างความอยากจะเป็นแบบฝรั่งเศสและการโหนกระแสภาพยนต์เรื่อง The Hunger Games: Mockingjay ที่เข้าฉายช่วงรัฐบาล คสช. พอดี

4. เขาปฏิเสธไม่ได้ว่ามีขบวนการต่อต้าน "รัฐบาลหาร" ที่พ่วงการต่อต้านสถานบันหลักของชาติไปพร้อมๆ กันด้วย อาการต่อต้านนี้สะท้อนออกมาในรูปของการเรียกร้องต่างๆ นานาในนามของการปฏิรูป

5. ผู้ที่มีแนวคิดแบบนี้เห็นว่ามีอุดมการณ์การปฏิวัติฝรั่งเศสเป็น "ความเสี่ยงอันสูงส่ง" (Beau risque) แต่เพราะมันเป็นความเสี่ยงจึงไม่สามารถแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งได้ เพียงแต่ชูสามนิ้วเหมือนนางเอกในเรื่อง The Hunger Games และยื่นแขนไปข้างหน้าอย่างแข็งขัน

6. ความเสี่ยงอันสูงส่งที่ขบวนการนี้มองเห็น คนภายนอกมองว่าเป็นความเสี่ยงทางการเมืองที่ไม่อาจแตะต้องได้ (Political taboo) อาการแตะต้องไม่ได้นี้ไม่ได้หมายความว่าคนนอกขบวนการไม่รู้อย่างที่พวกเขามักเรียกว่า "อิกนอแร้น" (sic) แต่พวกเขารู้และยอมรับว่ามันคือความสูงส่งอีกแบบที่ไม่ควรจะไปยุ่ง

7. ดังนั้นการที่บอกว่าคนอื่นๆ ที่คิดไม่เหมือนตัวเองเป็น "อิกนอแร้น" (พวกไม่รู้เหนือรู้ใต้ทางการเมือง) จึงเป็นความเข้าใจผิดจนเรียกได้ว่าพวกเขานั่นแหละที่ "อิกนอแร้น" เพราะทำเป็นมองไม่เห็นทางเลือกทางการเมืองของคนอื่น

8. คำว่า "อิกนอแร้น" แปลงมาจากคำว่า Ignorance คำๆ นี้มีความหมายที่ครอบจักรวาล ตั้งแต่ความไม่ตระหนักในเรื่องรอบตัว ไปจนถึงอวิชชาในทางพุทธศาสนาที่บดบังเราจากการหลุดพ้น หรือถ้าจะกล่าวในบริบทของบทความนี้ก็คือ "ความโง่เรื่องอะไรบางอย่าง"

9. มีผู้นิยามความหมายของ "อิกนอแร้น" หลายคนแต่ส่วนใหญ่ลงรอยกันว่าจะต้องเป็นการไม่รู้ในข้อเท็จจริง บางคนนิยมว่าจะเป็นอาการจงใจที่จะทำเมินข้อเท็จจริงด้วย ดังนั้น เราจงสำรวจตัวเองว่าเราได้ละเลยข้อเท็จจริงหรือไม่ ไม่เช่นนั้นเราเองนั่นแหละที่จะเป็นพวกไม่รู้เหนือรู้ใต้ทางการเมือง

10. ปัญหาก็คือเรามักจะสับสนระหว่าง "ข้อเท็จจริงทางการเมือง" และ "ทัศนะทางการเมือง" ความลำเอียงส่วนตัวทำให้เราถูกครอบงำโดยรสนิยมชมชอบของเราเอง (เช่นชอบพรรคนี้ ชอบระบอบนี้) ทำให้เราเหมาว่าคนที่ไม่ชอบเหมือนเราไม่รู้ข้อเท็จจริงทางการเมือง

11. ดังนั้นเราจึงต้องตรวจสอบตัวเองเราเองก่อนว่าสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับการเมืองเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ หรือเป็นแค่ทัศนะของบางคน หรือเป็นแค่การคาดเดา หรือที่เลวร้ายที่สุดคือเป็นแค่ข่าวลือและเฟคนิวส์ ไม่เช่นนั้นเราก็ถือเป็นพวกไม่รู้เหนือรู้ใต้ทางการเมืองเหมือนกัน

12. เมื่อเรามั่นใจแล้วว่าความรู้ของเราเป็นข้อเท็จจริง ถึงจะมีความชอบธรรมที่จะไปตรวจสอบความรู้ของคนอื่นว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ เมื่อทุกอย่างสอดคล้องกันแล้ว เราจึงจะสามารถร่วมกันโต้เถียงได้ว่าการเมืองของเราควรเป็นแบบใด

13. แต่นี่เป็นเพียงความฝัน ความจริงคือสังคมโลกเรามีความไม่รู้เรื่องการเมืองสูงมาก Ilya Somin ผู้เขียนหนังสือ Democracy and Political Ignorance ยกตัวอย่างเช่นสหรัฐ จากการสำรวจเมื่อปี 2006 พบว่า มีคนอเมริกันเพียง 42% ที่บอกได้ว่าตัวแทนผู้ใช้อำนาจของประชาชนแบ่งออกเป็นสาขาใดบ้าง

14. ยิ่งในสถานการณ์ของไทยที่มีปัญหาเรื่องการศึกษาความรู้ทางการเมืองจึงน่าจะต่ำ และบรรยากาศยังเต็มไปด้วยการด่าพ่อล่อแม่กัน (Name calling) แทนที่จะถกเถียงกันอย่างผู้มีปัญญา ยิ่งทำให้ไร้วุฒิภาวะทางการเมือง การผลักดันอะไรใหม่ๆ จึงเป็นเรื่องแทบเป็นไปไม่ได้

15. เท่านั้นยังไม่พอ Ilya Somin บอกว่า ในประเทศไหนๆ และในไทยก็เช่นกัน มีคนกลุ่มหนึ่งที่ศึกษาการเมืองมากเป็นพิเศษ คนพวกนี้เรียกว่า "แฟนการเมือง" (political fans) จะรู้ข้อเท็จจริงทางการเมืองด้วยความสนใจเหมือนพวกแฟนฟุตบอลสนใจสถิติและเรื่องของนักกีฬา

16. แต่แฟนๆ การเมืองมักจะประเมินข้อมูลด้วยความลำเอียงอยู่ดี โดยจะประเมินสิ่งที่สอดคล้องกับความชอบตัวเองสูงเกินไป และประเมินข้อมูลที่ตรงกันข้ามกับตัวเองต่ำเกินไปหรือกระทั่งเมินเฉย หรืออย่างร้ายที่สุดคือตีความข้อมูลเข้าข้างตัวเอง

17. ดังนั้นในแง่หนึ่งพวกคอการเมืองที่เลือกข้างสุดลิ่มทิ่มประตูมีความโง่ทางการเมืองเท่าๆ กับคนทำงานหามรุ่งหามค่ำจนไม่มีเวลาศึกษาเรื่องการเมือง เพราะต่างก็ถูกอะไรบางอย่างบดบังไว้ไม่ให้รู้ความจริง

18. ในสังคมประชาธิปไตยเราจึงผูกขาดตัวเองเป็นผู้รู้และตราหน้าคนอื่นว่าไม่รู้ไม่ได้ หากยังตะบี้ตะบันว่าตัวเองคือผู้สูงส่งกว่าส่วนคนอื่นทำบาปทางการเมือง สังคมประชาธิปไตยจะพังทลายและสังคมเผด็จการทางความคิดจะเกิดขึ้นโดยไม่ต้องเรียกทหารให้ออกมาปฏิวัติ

19. ดังนั้นสังคมประชาธิปไตย "ที่แท้จริง" จะต้องตระหนักในหลักการพหุนิยมคือเคารพความหลากหลายและอดทนต่อความเห็นต่าง ไม่ตราหน้าคนอื่น เพราะการตราหน้าทำให้สังคมและตัวเราด้อยคุณภาพด้านประชาธิปไตย

20. ไม่ว่าคนๆ นั้นจะชอบแบบใดก็ตามเราต้องยอมรับแม้จะต้องกัดฟันยอมรับก็ตาม แล้วค่อยไปวัดกันในคูหาเลือกตั้งว่าใครที่มีพลังมากกว่ากัน แต่เราต้องไม่ลืมว่าผลเลือกตั้งไม่ใช่ข้อเท็จจริงทางการเมืองที่ตายตัว ผลของมันผันแปรไปตามอารมณ์คนในยุคสมัยต่างๆ

21. อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งในคูหาไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง Ilya Somin บอกว่า "ไม่มีวิธีง่ายๆ ในการแก้ปัญหาเรื่องความไม่รู้ทางการเมือง แต่เราสามารถลดมันลงอย่างมีนัยสำคัญได้โดยการตัดสินใจมากขึ้นโดยการ "ลงคะแนนด้วยเท้าของเรา" และลงคะแนนเสียงผ่านคูหาเลือกตั้งให้น้อยลง"

22. การลงคะแนนด้วยเท้าของเรา (Foot voting) ถือการแสดงออกด้วยการถอนตัวจากกลุ่มหรือกิจกรรมที่เราไม่ชอบหรือเข้าไปร่วมกับกลุ่มหรือกิจกรรมที่เราชอบ เมื่อเราชอบอะไรแล้วเราจะศึกษามันอย่างจริงจังเพื่อให้รู้ว่ามันจะกระทบต่อชีวิตเราอย่างไร ขณะที่การเลือกตั้งในคูหามีแนวโน้มที่จะทำให้เรา "เลือกไปงั้นๆ" และไม่ศึกษาให้ถ่องแท้ ทำให้ได้รัฐธรรมนูญหรือรัฐบาลที่ตัวเองไม่พอใจในภายหลัง

23. ตราบใดที่เราไม่คิดว่ามันกระทบต่อชีวิตเราจริงๆ อย่างไร แนวโน้มที่เราจะเป็นคนโง่ทางการเมืองมีสูงมาก

บทความโดย กรกิจ ดิษฐาน 

Photo by Mladen ANTONOV / AFP

ข่าวล่าสุด

กรมโยธาฯ เปิดตัว "DPT Town Square" รวม 16 บริการรัฐในที่เดียว!