สัญญาณอันตรายของ "อภิมหาเงินเฟ้อ" ได้เกิดขึ้นแล้ว
การอัดฉีดเงินอุ้มเศรษฐกิจของรัฐบาลต่างๆ ไม่ได้มีแต่ข้อดี แต่ยังอาจเป็นตัวการให้สินค้าแพงขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว
เศรษฐกิจโลกกำลังถดถอยรุนแรงและเริ่มมีการพูดถึงกันมากขึ้นว่าเรากำลังจะมุ่งไปทางไหนระหว่าง "ภาวะเงินฝืด" และ "เงินเฟ้อ"
ว่ากันตามเสียงส่วนใหญ่ในบรรดากูรูเศรษฐกิจต่างเชื่อว่าโลกของเรา (รวมถึงไทย) จะต้องเจอปัญหาเงินฝืดแน่นอน นั่นคือภาวะที่สินค้ามีราคาตกเพราะขายไม่ออก
ล่าสุด อัตราเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมของไทยดิ่งต่ำสุดในรอบเกือบ 11 ปี จนใกล้เข้าสู่ภาวะเงินฝืดเข้าไปทุกที
แต่กับอีกหลายประเทศเราฟันธงไม่ได้ว่าเราจะเจออะไรกันแน่จนกว่าสัญญาณจะชัดกว่านี้ แม้แต่โอลิวิเยร์ บลองชาร์ด อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ก็ยังไม่ชัวร์ในเรื่องนี้ โดยบอกว่ามีโอกาสที่จะเกิดภาวะเงินฝืด แต่ก็ "ปฏิเสธความน่าจะเป็นที่จะเกิดภาวะเงินเฟ้อสูงไม่ได้อย่างเด็ดขาด"
สาเหตุก็เพราะธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มปั๊มเงินออกมาเพื่อรองรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกันยกใหญ่ พร้อมกับลดดอกเบี้ยแบบไม่หยุดหย่อน บลองชาร์ดจึงเชื่อดอกเบี้ยต่ำนี่เองที่จะทำให้เกิดเงินเฟ้ออย่างหนักจนเกิดภาวะ Fiscal dominance
Fiscal dominance จะเกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลมีหนี้ท่วมหัวและขาดดุลหนัก แต่รายได้จาการเก็บภาษีลดลง (เหมือนตอนนี้) แต่เมื่อของแพงขึ้นมาจู่ๆ จะให้แบงก์ชาติไปขึ้นดอกเบี้ยไม่ได้ จะทำให้เกิดการผิดชำระหนี้และทำให้ค่าเงินของประเทศอ่อนยวบลงมา
บลองชาร์ดจึงบอกว่า "การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อแก้ปัญหาภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น จะนำไปสู่การอ่อนค่าของสกุลเงิน การอ่อนค่าของสกุลเงินจะทำให้ภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้น" นี่คือภาวะงูกินหางที่เราต้องระวังเอาไว้
ภาวะนี้จะนำไปสู้เงินเฟ้อที่เลวร้ายขนาดหนักที่เรียกว่า Hyperinflation หรือ อภิมหาเงินเฟ้อ รวมถึงการล่มสลายของระบบเศรษฐกิจ
พูดง่ายๆ คือเศรษฐกิจพังพินาศ
ตอนนี้บางประเทศเริ่มเจอเข้ากับอภิมหาเงินเฟ้อเพราะโควิด-19 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประเทศที่ว่านั้นคืออิหร่าน
จริงอยู่ที่เวเนซุเอลามีภาวะอภิมหาเงินเฟ้อก่อนหน้าชาวบ้านอยู่แล้ว แต่เพราะมันไม่ได้เกิดจากวิกฤตโควิด-19 จึงอยู่นอกบริบทคำเตือนของเรา เงื่อนไขของเวเนซุเอลานั้นต่างจากของชาวโลกมากเพราะถูกคว่ำบาตรจนสินค้าขาดแคลนและของแพงขึ้นตามกลไกปกติ แต่ชาวโลกส่วนใหญ่ใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะทำให้เกิด Fiscal dominance ได้
ข่าวล่าสุดจากอิหร่านคือ วันที่ 4 พฤษภาคม รัฐสภาอิหร่านเพิ่งจะลงมติให้ลดเลขศูนย์ 4 ตัวจากสกุลเงินประจำชาติ หรือ "เงินเรียล" เพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อที่เกิดจากการคว่ำบาตรของสหรัฐและการระบาดของโคโรนาไวรัส
นับแต่นี้ "เรียล" ซึ่งเป็นสกุลเงินประจำชาติของอิหร่านมาตั้งแต่ปีพ. ศ. 2468 จะถูกแทนที่ด้วย "โทมาน" ซึ่ง 1 โทมานจะเท่ากับ 10,000 เรียล (ตัด 0 ออกไปทั้งหมด)
เศรษฐกิจของอิหร่านย่ำแย่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐคว่ำบาตรอิหร่านอีกครั้งซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจของอิหร่าน แต่อิหร่านก็ยังพอประคองตัวเองมาได้จนเริ่มจะไม่ไหว ในเดือนธันวาคม 2562 ธนาคารกลางอิหร่านจึงเสนอให้ปรับค่าของเงินบนหน้าธนบัตรให้เฟ้อน้อยลง (Redenomination)
เรื่องนี้ถกเถียงกันมาหลายปีแล้ว พอแบงก์ชาติเสนออีกรอบก็ยังค้างคามานานกว่า 4 เดือนจนกระทั่งอิหร่านกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจากโควิด-19 โดยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเงินเรียลลดมูลค่าลงมากกว่า 60%
อัตราแลกเปลี่ยนของเงินเรียลในตลาดมืดดิ่งลงมาอยู่ที่ 156,000 เรียลต่อ 1 เหรียญสหรัฐช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2563
เพื่อพูดถึงเงินเฟ้อหรือภาวะอภิมหาเงินเฟ้อคนทั่วไปอาจรู้สึกไกลตัว แต่ถ้าบอกว่าของแพงจนเงินที่มีอยู่ซื้อไม่ไหวคงจะเห็นภาพกันชัดขึ้น แต่มันไม่ใช่แค่นั้น เพราะของไม่ใช่แค่แพง แต่ค่าเงินที่เราถืออยู่ยังลดลงจนแทบไม่มีค่า ธนบัตรที่เก็บอยู่ในกระเป๋าอาจกลายเป็นแบงก์กาโม่เอาง่ายๆ
ตัวอย่างเช่น ฮังการีเคยเกิดอภิมหาเงินเฟ้อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อัตราเงินเฟ้อสูงถึง 41.9 ล้านล้านล้านล้านเปอร์เซ็นต์ในเวลาแค่ 14.82 ชั่วโมง ในสถานการณ์แบบนี้เงินจะไม่มีค่าเอาเลย ต่อให้มีเงินล้านก็แทบซื้ออะไรไม่ได้ เพราะค่าเงินตกแต่ของแพงขึ้น
คำถามสำคัญที่หลายคนอยากจะรู้แต่เราตอบยังไม่ได้ก็คือเราจะเจอกับเงินเฟ้อที่เลวร้ายสุดๆ หรือไม่ กูรูการเงินใหญ่อย่างบลองชาร์ดมองเห็นแนวโน้มแต่ยังไม่กล้าฟันธง แต่ปีเตอร์ ชิฟฟ์ นักลงทุนและกูรูการเงินชื่อดังเตือนว่ามันก็มีโอกาสอยู่ที่จะเกิดภาวะอภิมหาเงินเฟ้อ
ชิฟฟ์เป็นเจ้าของฉายา Dr. Doom (ดอกเตอร์หายนะ) เพราะมักจะมองอะไรด้านลบไปหมด เขาบอกว่า การที่รัฐบาลสหรัฐและเฟดทุ่มเงินหลายล้านล้านเหรียญเพื่อกู้เศรษฐกิจจะทำให้เกิดเงินเฟ้อรุนแรงขึ้นมา การกว้านซื้อพันธบัตรของเฟดทำให้ตลาดไม่มั่นใจ ทำให้บางประเทศเช่นจีนจะหันไปซื้อทองคำมาเก็บมากขึ้น ยิ่งถ้านานาประเทศแห่กันทิ้งเงินเหรียญสหรัฐออกจากทุนสำรองด้วยแล้วจะยิ่งเป็นหายนะเข้าไปอีก
แต่โอกาสที่จะเกิดการทิ้งดอลลาร์แทบจะเป็นไปไม่ได้ (แม้จะมีผู้เชียร์ให้ดอลลาร์สิ้นอิทธิพลมาหลายปีก็ยังไม่สำเร็จ)
Dr. Doom อาจจะดูตื่นตระหนักไปหน่อย แต่ไม่ใช่เขาคนเดียวที่เห็นลางของอภิมหาเงินเฟ้อ เช่น โอลิเวอร์ ฮาร์วีย์นักวิเคราะห์มหภาคของ Deutsche Bank ที่บอกว่า ตอนนี้เงื่อนไขไม่เหมือนช่วงเศรษฐกิจถดถอยปี 2008 ในตอนนั้นเป็นเพราะคนตกงานไม่มีเงินใช้จ่าย แต่ตอนนี้ผู้คนถูกบังคับให้อยู่กับที่ การผลิตชะงัก แม้จะมีเงินซื้อแต่ก็ซื้อสินค้าและบริการไม่ได้ เมื่อความต้องการมาก สินค้าและบริการไม่พอก็ทำให้เงินเฟ้อขึ้นมา และจะเป็นอภิมหาเงินเฟ้อด้วยซ้ำ
โรเบิร์ต โฮลซ์มันน์ผู้ว่าการธนาคารกลางออสเตรียก็ไม่คิดว่าเงินฝืดกำลังจะมา เขากล่าวว่าแม้ว่าราคาผู้บริโภคจะลดลงในช่วงสองสามเดือน แต่ “นั่นไม่ใช่ภาวะเงินฝืดในแง่เศรษฐศาสตร์” แต่มันจะแรงผลักจากเงินเฟ้อเข้ามาแทนที่เพราะอุปทานที่ชะงักงัน ที่เราต้องระวังคือสัญญาณเศรษฐกิจออกมาเหมือนกับว่าเงินจะฝืด แต่ลึกๆ แล้วมันจะเฟ้อ
"การสะดุดของห่วงโซ่อุปทาน" ไม่ใช่แค่คำยากๆ ในทางเศรษฐศาสตร์แต่มันเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อชีวิตของเราทุกคน เพราะหลังจากนี้จากที่เคยแบ่งงงานกันทำ ประเทศต่างๆ จะเลิกพึ่งประเทศอื่นๆ แล้วหันมาผลิตกันเอง มันจะทำให้สินค้าขาดตลาดยาวไปหลายปี ต่อให้เรามีกำลังซื้อแค่ไหนหลังจากปลดล็อคก็ซื้อไม่ได้
ก่อนจะถึงวันนัน เรามีสัญญาณค่อนชัดของเงินเฟ้อซ่อนรูปคือเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม สำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐรายงานว่าดัชนีราคาผู้บริโภคลดลงถึง 0.80 จุด ทำให้เกิดความกังวลกันเรื่องเงินฝืด
แต่ดัชนีราคาลดลงเพราะราคาน้ำมันลดลงถึง -33% เมื่อเทียบปีต่อปี แต่ราคาอาหารเพิ่มขึ้น 7% - 17% ในส่วนของสหรัฐยังมีค่าประกันสุขภาพที่เพิ่มขึ้นถึง 20% และบริหารอื่นๆ มีราคาเพิ่มขึ้น 60% เฉพาะราคาอาหารในสหรัฐเพิ่มสูงขึ้นในรอบ 40 ปี
จะเห็นว่าตัวเลขมันหลอกเราได้
สิ่งที่นักวิเคราะห์เหล่านี้กำลังจะบอกกับเราไม่ใช่ว่าอภิมหาเงินเฟ้อจะเกิดขึ้นง่ายๆ ตราบใดที่รากฐานเศรษฐกิจยังไม่สั่นคลอนเหมือนอิหร่าน ซิบบาบเว หรือเวเนซุเอลา สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดคือมันคือภาวะเงินเฟ้อที่ราคาสินค้าแพงขึ้นพอสมควร
สิ่งที่นักวิเคราะห์เหล่านี้ต้องการเตือนคือการอัดเงินช่วยเหลือประชาชนและธุรกิจไม่ใช่เรืองดีเสมอไป ยิ่งเร่งรีบทุ่มเงินแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ อาจทำให้ข้าวของแพงขึ้นมาแบบไม่ทันตั้งตัวเอาได้
บทความโดย กรกิจ ดิษฐาน
Photo by Juan BARRETO / AFP


