อัตราแลกเปลี่ยนที่บาดใจ
โดย กริช อุ๊งวิฑูรย์สถิตย์
ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทแข็งมากๆ ทำให้ผมรับโทรศัพพ์จากเพื่อนๆผู้ประกอบการในเมียนมาหลายท่านที่โทรมาโอดครวญกันหลายราย บ้างก็ถามว่าเราจะดำเนินการอย่างไรดีจากเหตุการณ์นี้
บ้างก็ถามว่าเราจะเอาเงินออกมาก็ทำใจลำบากเหลือเกินที่จะขาดทุนหรือ ยอม Cut losses บ้างก็ถามมาว่าจะอีกนานมั้ยกับสถานการณ์เช่นนี้ ผมต้องบอกว่า "ไม่ทราบ"
แต่จะวิเคราะห์ให้นำไปพิจารณาเอาเองนะครับ ขาดทุน-กำไร เป็นเรื่องของการตัดสินใจของปัจเจกบุคคล ถูกผิดอย่าโทษกันนะครับ เอาด้านของไทยเราก่อน เหตุที่ค่าเงินบาทแข็งค่าก่อนอาจจะเกิดจากหลายปัจจัย เช่น เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ การลงทุนภาครัฐและเอกชน
การค้าระหว่างประเทศ การส่งออกและนำเข้าในช่วงระยะเวลาภายในปี การใช้จ่ายของภาคประชาชน เหตุจากการเมืองการปกครอง สถานการณ์ในภูมิภาค การค้าในตลาดโลก อัตราดอกเบี้ยที่เกิดจากนโยบายของภาครัฐ ทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง
ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้ค่าเงินอ่อนค่าและแข็งค่าได้หมด ซึ่งส่งผลกระทบไปสู่รายได้ประชาชาติ (GDP)ทั้งหมด
ดังนั้นก่อนที่จะไปโทษใคร เราต้องไปแยกแยะทีละตัวปัจจัยกันครับ เราเป็นประชาชนคนตาดำๆ ถ้าหากไม่ใส่ใจกับตัวเลขที่ทางภาครัฐและภาคเอกชนเขาประกาศป่าวๆอยู่ทุกเดือนทุกไตรมาส แล้วก็ไม่รับรู้อะไรเลย
พอถึงเวลาเกิดมีปัญหาแล้วไม่ได้เตรียมการรับมือใว้ก่อน ก็ไม่รู้จะไปฟ้องศาลพระภูมิที่ไหนละครับ ถ้าหากเรารู้ว่าแนวโน้มตามที่ตัวเลขเขาประกาศให้เราทราบ แล้วนำมาวิเคราะห์ใว้ก่อน อาจจะเจ็บตัวน้อยลงไปบ้างก็ได้นะครับ
ทีนี้มาดูทางฝั่งประเทศคู่ค้าของเรากันบ้าง จากตัวอย่างที่ผมทำการค้าอยู่ที่เมียนมา ถ้าเรามาดูจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของเขา
ในช่วงสองไตรมาสที่ผ่านมา หรือที่หกเดือนย้อนหลัง เราจะเห็นว่าอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของเขานั้นค่อนข้างจะรักษาเสถียรภาพได้ไม่เลวนัก เพราะค่าเงินจ๊าดของเขาเมื่อแลกกับเงินยูเอสดอลล่าร์ จะอยู่ที่ประมาณ 1510-1540 จ๊าดมาโดยตลอด
เพราะฉนั้นมีแต่ค่าเงินบาทของไทยเราเท่านั้นที่แข็งค่าอย่างมากๆ ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินจ๊าดต่อเงินบาทจึงมีปัญหา เพราะในช่วงที่ผ่านมาในระยะเวลาสองไตรมาสนี้ ค่าเงินบาทจะแข็งค่าเร็วกว่าเงินจ๊าด
ในอาทิตย์ที่ผ่านมากระโดดไปอยู่ที่ เกินกว่า 50 จ๊าดต่อหนึ่งบาทเข้าไปแล้ว หรือ เงินจ๊าด100 แลกได้เงินบาทยังไม่ถึง 2 บาทนั่นเอง
นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เหลือเชื่อจริงๆ ตั้งแต่ผมทำการค้ามายังไม่เคยเจอบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินจ๊าดเท่ากับวันนี้เลยครับ สิ่งที่จะตามมาต่อจากนี้ที่พวกเราในฐานะพ่อค้าวานิชที่ดำเนินกิจการกับประเทศเมียน
มาต้องระวังก็คือ การค้าจะหดตัวลงอย่างรุนแรง คนที่จะซื้อสินค้าจากไทยเรา เขาจะต้องจ่ายแพงขึ้น เพราะจะไม่ขึ้นราคาสินค้าก็ไม่สามารถ
เพราะผู้ผลิตจำเป็นต้องขายในราคาเท่าเดิมไม่ได้ลดราคาลงไปให้สอดรับกับค่าเงินที่แข็งค่าขึ้น
ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ กล่าวคือ ในอดีตอัตราค่าเงินหนึ่งบาทต่อ 45 จ๊าด สมมุติว่าเขาซื้อสินค้าเราในราคา 1000 บาท เขาจะต้องจ่ายเงินให้เรา 45,000 จ๊าด แต่ปัจจุบันนี้ค่าเงินบาท 1 บาทเท่ากับ 50.5จ๊าด
เขาจะต้องจ่ายให้เรา 50,500 จ๊าด ต้นทุนที่สูงขึ้นเช่นนี้
พอไปถึงตลาดแล้วจะจัดจำหน่ายอย่างไรละ เพราะอย่าลืมว่านั่นเป็นเพียงค่าสินค้าเท่านั้นนะครับ ยังต้องบวกค่าขนส่งและค่าบริการที่จะต้องตามขึ้นมา ยังมีค่าภาษีที่เป็นอัตราก้าวหน้าที่ตามจี้ตูดมาติดๆอีก คราวนี้จบไม่ลงแน่เลยครับ
ในขณะที่ค่าเงินของประเทศคู่แข่งเช่นจีน เขาก็จัดการอ่อนค่าลงมาก่อนหน้านี้แล้ว ในช่วงที่เกิดสงครามทางการค้ากับสหรัฐอเมริกาใหม่ๆ จีนทำการลดค่าเงินหยวนเรียบร้อย เขาฉลาดมากๆ แทนที่เขาจะบอกว่าค่าเงินเขาแทรกแซงโดยภาครัฐบาล
เขากลับบอกว่าเป็นไปตามกลไกของตลาด ซึ่งตอนนี้ค่าเงินหยวนต่อบาท ยังไม่ถึง 4 บาทต่อหยวนเลยครับ ในขณะที่ผ่านๆมาจะอยู่ที่ 4.70-5.30 บาทต่อหยวน แล้วเราจะเอาอะไรไปแข่งกับเขาละครับนี่
นอกจากนี้ยังมีการลงทุนอีก ใครที่เข้าไปก่อนนี้ก็เสียเปรียบ ใครเข้าไปตอนนี้ก็เป็นโอกาสครับ ส่วนที่ถามว่าแล้วสถานการณ์เช่นนี้จะอีกนานมั้ย ผมขอตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า ผมไม่ใช่รัฐบาลครับ ผมเองก็ตอบไม่ได้ ไปไม่เป็นเหมือนกัน เพราะถ้ารู้ก่อนก็รวยแล้วซิครับ
เอาเป็นว่าที่ผ่านๆมา ผมจะใช้วิธีไม่เอาเงินสดทิ้งใว้ที่ต่างประเทศนานและมากเกินไปพอสมควร ก็จะรีบโอนออกก่อน เราจะไม่เก็งกำไรค่าเงิน เราจะเอากำไรจากการค้าขายเท่านั้น เพราะเราไม่ใช่นักเสี่ยงโชค เราเป็นพ่อค้า อย่างนี้ก็จะไม่ได้ไม่เสียมากนักครับ


