"นักชำระบัญชีแห่งเชอร์โนบิล" ฮีโร่ผู้ปิดทองหลังพระที่คนไม่รู้จัก
เจาะลึกเบื้องหลังวีรชนผู้เสียสละชีวิตและต้องทรมานทั้งชีวิตเพระากัมมันตรังสีเพื่อกอบกู้วิกฤตการณ์นิวเคลียร์ที่เลวร้ายที่สุดในโลก
ในช่วงนี้ซีรีส์ที่ถูกล่าวถึงเป็นพิเศษคือ Chernobyl ทางสถานี HBO ซึ่งเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวิกฤตการณ์นิวคเลียร์เชอร์โนบิลในยุคสหภาพโซเวียต สิ่งที่แตกต่างออกไปของซีรีส์เรื่องนี้คือเน้นเล่าเรื่องราวเบื้องหลังที่คนไม่ค่อยรู้กัน เช่น การทำงานของหน่วยดับเพลิงชุดแรกที่บุกเข้าไปในโรงงานนิวเคลียร์ อาสาสมัคร หรือแม้แต่เรื่องราวของคนงานเหมืองที่ใช้ทักษะขุดอุโมงค์เพื่อเข้าไปถึงพื้นที่เสี่ยง
บุคคลที่ปิดทองหลังพระเหล่านี้เรียกกันว่า "นักชำระบัญชีแห่งเชอร์โนบิล" หรือ Chernobyl liquidators
นักชำระบัญชีแห่งเชอร์โนบิลไม่ใช่นักบัญชี แต่พวกเขาเป็นจัดการตามล้างตามเช็ดวิกฤตการณ์ ซึ่งไม่ใช่งานที่ง่ายเพราะต้องเสี่ยงอันตรายกับระดับกัมมันตรังสีสูงลิ่ว และแน่นอนว่าพวกเขาหลายคนต้องจากไปก่อนวัยอันควร
จากตัวเลขขององค์การอนามัยโลก มีผู้เก็บกวาดวิกฤตการณ์ถึง 600,000 คน แต่ในจำนวนนี้ต้องเสียชีวิตไปก่อนวัยอันควรเป็นจำนวนมากเพราะรับกัมมันตรังสีโดยตรง จากตัวเลขของ Chernobyl Union พบว่า เฉพาะทีมงานชาวรัสเซียตายไป 25,000 คน พิการ 70,000 คน ชาวยูเครนมีอัตราเสียชีวิตและพิการใกล้เคียงกัน ชาวเบลารุสตายไป 10,000 คน และพิการ 25,000 คน ดังนั้นเมื่อรวมแล้วมีคนตายถึง 60,000 คน และพิการ 165,000 คน!
หนึ่งในนักชำระบัญชีแห่งเชอร์โนบิลกลุ่มแรกๆ ที่บุกเข้าไปในพื้นที่เกิดเหตุคือนักดับเพลิง นำโดยร้อยโทโวโลดีมีร์ ปราวิก ซึ่งบุกเข้าไปควบคุมเพลิงที่เกิดจากการระเบิดของเตาปฏิกรณ์นิวคเลียร์โดยไม่มีใครบอกพวกเขาว่าระดับกัมมันตรังสีสูงเพียงใด และพวกเขาเข้าใจว่าเพลิงไม้ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเหตุการณ์อัคคีภัยทั่วๆ ไป
อย่างไรก็ตาม มีพนักงานดับเพลิงชื่อ อนาโตลี ซาคารอฟ บอกว่า "แน่นอนเรารู้! (ว่ามีกัมมันตรังสี) แต่ถ้าเราทำตามระเบียบ เราจะไม่มีทางเข้าไปใกล้เตาปฏิกรณ์ได้เลย มันเป็นพันธกิจทางจริยธรรม เป็นภารกิจของเรา พวกเราเหมือนนักบินกามิกาเซ่"
แน่นอนว่า ทีมนักดับเพลิงกามิกาเซ่เหล่านี้ได้รับกัมมันตรังสีไปเต็มๆ ร้อยโทโวโลดีมีร์ ปราวิก ได้รับกัมมันตรังสีมหาศาลจนร่างไหม้เกรียม สีของตาเปลี่ยนจากสีน้ำตาลเป็นสีน้ำเงินแล้วเสียชีวิตในเวลาแค่ข้ามคืน ศพของเขาต้องฝังไว้ในโลงบัดกรีสังกะสีเพื่อป้องกันกัมมันตรังสีรั่วไหล
หนึ่งในทีมงานคือเลโอนิด เตลยัตนิคอฟ มีโอกาสได้รับเหรียญกล้าหาญ "วีรชนแห่งโซเวียต" และมีอายุยืนยาวกว่าใคร เสียชีวิตในวัย 53 ปีเมื่อปี 2004 ด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นผลมาจากกัมมันตรังสีที่เขารับมาตอนหนุ่มๆ
อีกทีมงานที่มีบทบาทสำคัญคือ กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ประจำกองทัพสหภาพโซเวียต ผู้นำปฏิบัติการคือนิโคไล ตารากานอฟ ทีมงานของเขาเผชิญกับกัมมันตรังสีโดยตรง และทีมที่ 2 ถึงกับต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่เพราะพิการกันหมดจากการรับรังสี ส่วนตัวเขาเองแม้จะอยู่ในฐานะผู้นำยศนายพล ก็ยังรับรังสีจนป่วยกระเสาะกระแสะจนเงินที่ออมไว้หมดไปกับการรักษาตัว ปัจจุบันเขายังมีชีวิตอยู่ และชื่นชมนักแสดงที่รับบทบาทเป็นตัวเขาในซีรีส์ของ HBO ว่าแสเดงได้สมกับบทบาท
อีกหนึ่งคนที่เผชิญความตายซึ่งๆ หน้าแต่รอดมาได้ราวปาฏิหาริย์คือวาซิลี เนสเตเรนโก นักฟิสิกส์ที่นำทีมขึ้นเฮลิคอปเตอร์บรรทุกไนโตรเจนเหลวไปดับไฟที่เตาปฏิกรณ์ วิธีการเดียวก็คือต้องบินผ่านกลุ่มควันที่พวยพุ่งจากเตาที่ระเบิดออกและเต็มไปด้วยกัมมันตรังสี ผลก็คือ 4 คนบนเฮคอปเตอร์เสียชีวิตจากการถูกกัมมันตรังสีเข้าอย่างจัง ส่วนเนสเตเรนโกกลับรอดมาได้ และมีชีวิตยืนยาวถึง 73 ปี
นอกจากหน่วยกล้าตายเหล่านี้แล้ว ยังมีอาสาสมัครที่ทำงานเสี่ยงตายเบื้องหลังอีก เช่น กลุ่มคนงานเหมืองที่รับหน้าที่ขุดอุโมงค์เข้าถึงจุดอันตราย และสร้างแนวป้องกันใต้ดินเพื่อไม่ให้กัมมันตรังสีแพร่กระจาย หรือจะเป็นทีมงานทำความสะอาดตามบ้านและอาคารในเมืองปรีเปียต ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใกล้โรงงานไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์เชอร์โนบิลมากที่สุด และพลเมืองถูกอพยพหนีภัยแทบจะในทันที การอพยพทันทีทำให้ยังมีอาหารและวัตถุชีวภาพจำนวนมากถูกทิ้งไว้ ทีมงานรักษาความสะอาดต้องเข้าไปในเมืองที่มีกัมมันตรังสีเพื่อเก็บซากเหล่านั้น มิให้กลายเป็นแหล่งเพาะเชื่อโรคอันตราย
แต่มีอีกหนึ่งนักชำระบัญชีแห่งเชอร์โนบิล ที่ทำงานเหมือนนักชำระบัญชีจริงๆ เขาคือวาเลรี เลกาซอฟ ที่ทำหน้าเป็นหัวหน้ากรรมาธิการสอบสวนกรณีวิกฤตนิวคเลียร์ เขาทำงานอย่างตรงไปตรงมาและลงลึกในรายละเอียด แต่ต้องเผชิญแรงกดดันจากรัฐบาลให้ปกปิดข้อเท็จจริง เพียง 1 วันหลังวาระครบรอบ 2 ปีของวิกฤตเชอร์โนบิล และเพียง 1 วันก่อนที่เขาจะเปิดเผยรายงานการสอบสวน เลกาซอฟตัดสินใจฆ่าตัวตาย เป็นผู้เสียชีวิตจากกรณีเชอร์โนบิลที่ต่างจากรายอื่น เพราะไม่ได้ตายเพราะกัมมันตรังสี แต่ตายเพราะเปิดเผยความจริงไม่ได้


