สารพัดทฤษฎีไขปริศนา "MH370" หายลึกลับ
กลายเป็นปริศนาทางการบินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก สำหรับการสูญหายของเที่ยวบิน "MH370" และต่อไปนี้คือทฤษฎีบางส่วนถูกหยิบขึ้นมาวิเคราะห์เพื่อไขปริศนา
กลายเป็นปริศนาทางการบินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก สำหรับการสูญหายของเที่ยวบิน "MH370" และต่อไปนี้คือทฤษฎีบางส่วนถูกหยิบขึ้นมาวิเคราะห์เพื่อไขปริศนา
ปริศนาเที่ยวบิน MH370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส ที่หายไปเมื่อ 5 ปีก่อน จนถึงขณะนี้ยังดำมืด แม้ว่าตลอดระยะเวลาหลังจากเครื่องบินซึ่งหายไปพร้อมผู้โดยสารและลูกเรือรวม 239 ชีวิต ขณะบินจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ มุ่งหน้าไปยังกรุงปักกิ่งของจีน เจ้าหน้าที่จะปฏิบัติการปูพรมค้นหาอาณาเขตที่กำหนด 120,000 ตร.กม. ในมหาสมุทรอินเดีย แต่ก็ไม่มีสัญญาณว่าจะเจอเครื่องบิน ทำให้ภารกิจค้นหาถูกระงับลงชั่วคราวในเดือน ม.ค. 2017 รวมถึงการค้นหาครั้งที่ 2 เมื่อปีที่ผ่านมา โดยบริษัท Ocean Infinity ที่ปฏิบัติการค้นหาในพื้นที่มหาสมุทรอินเดียตอนใต้กว่า 90 วัน ก็คว้าน้ำเหลว จนต้องยุติภารกิจเช่นกัน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี มหาเธร์ โมฮัมหมัด ของมาเลเซีย เปิดเผยว่า รัฐบาลมาเลเซียจะพิจารณาเรื่องการค้นหาเครื่องบินโดยสารเที่ยวบิน MH370 ที่หายสาบสูญไปอีกครั้ง ภายใต้เงื่อนไขว่า จะต้องมีข้อเสนอหรือแผนปฏิบัติที่มีความเป็นไปได้ในการและมองเห็นผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม
เที่ยวบิน MH370 กลายเป็นหนึ่งในปริศนาทางการบินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นบนเที่ยวบินนั้นกันแน่ ในช่วงเวลาที่ผ่านมาจึงมีทฤษฎีคาดการณ์ความเป็นไปได้ต่างๆ ออกมามากมาย และนี่คือทฤษฎีบางส่วนถูกหยิบขึ้นมาวิเคราะห์เพื่อไขปริศนาการหายไปของ MH370
ถูกสหรัฐยิงตก
ปีเตอร์ แม็คมาฮอน วิศวกรเครื่องกลชาวออสเตรเลีย วัย 64 ปี อ้างว่า เขาพบซากเครื่องบินโบอิ้ง 777 ซึ่งเชื่อว่าเป็นเที่ยวบิน MH370 อยู่ใต้ผิวน้ำทะเล บริเวณเกาะราวด์ ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ของมอริเชียส ประเทศเกาะนอกชายฝั่งแอฟริกา ในมหาสมุทรอินเดียตะวันตกเฉียงใต้ หลังอาศัยเครื่องมือค้นหา Google Earth โดยพบว่าสภาพซากเครื่องบินเต็มไปด้วยร่องรอยรูกระสุน นอกจากนั้น ยังมีชาวอเมริกัน 4 คนถูกส่งไปกับทีมค้นหาซากเครื่องบิน เพื่อต้องการให้แน่ใจว่าความลับและตำแหน่งที่เครื่องตกจะไม่เล็ดลอดออกไปสู่สาธารณชน เพราะสหรัฐเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง
ไซเบอร์ไฮแจค
Norman Davies นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ-โปแลนด์ เจ้าของหนังสือ Beneath Another Sky ให้สัมภาษณ์กับ The Sunday Times ว่า MH370 อาจถูกไฮแจคผ่านอินเตอร์เน็ตระยะไกล หลังพบช่องโหว่บางอย่างในระบบการบิน โดยหลังจากเครื่องบินถูกแฮกระบบ แฮกเกอร์ปริศนาได้เข้ามาควบคุมเครื่องบินแทน และเปลี่ยนเส้นทางไปยังสถานที่ลับแห่งหนึ่ง เหตุผลเพราะบนเที่ยวบินนี้อาจจะมีบุคลากรหรือวัตถุสิ่งของที่เป็นความลับและมีความสำคัญกับรัฐบาลจีน ผู้ไม่หวังดีบางคนจึงไม่ต้องการที่จะให้เครื่องบินลำนี้เดินทางไปถึงกรุงปักกิ่ง
ผู้โดยสารลึกลับ
ทฤษฎีนี้เกิดขึ้นในวันเดียวกันกับที่มีการยื่นฟ้องร้องคดีในสหรัฐ ในนามครอบครัวของหนึ่งในผู้โดยสารที่สาบสูญไปกับเที่ยวบิน MH370 แอนเดร มิลน์ นักวิจัยอาสาสมัคร บอกว่า ตามข้อมูลที่ได้รับยืนยันและเปิดเผยต่อสาธารณชน บนเที่ยวบิน MH370 ณ วันที่หายไป มีผู้โดยสารและลูกเรือรวม 239 คน แต่เขากลับพบว่า รายชื่อผู้โดยสารอย่างเป็นทางการแท้จริงแล้วมีแค่ 226 คน และลูกเรืออีก 12 คน รวมเป็น 238 คน ดังนั้น จึงมี “บุคคลลึกลับ” 1 คน เดินทางไปพร้อมกับทุกๆ คนด้วย ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าเป็นผู้ก่อการร้าย อย่างไรก็ตาม โฆษกทีมสืบสวนของมาเลเซีย ชี้แจงว่า นั่นเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารมีการเปลี่ยนแปลงจนวินาทีสุดท้ายก่อนเครื่องจะเทกออฟ ยืนยันว่ามีผู้โดยสารเดินทางไปกับ MH370 ทั้งหมด 227 คน ทฤษฎีผู้โดยสารลึกลับจึงไม่น่าจะเป็นไปได้
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเอเชีย
นี่เป็นหนึ่งทฤษฎีที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลกโซเชียล จากการคาดการณ์ว่าอาจมีสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาที่ 2 ในมหาสมุทรอินเดีย คล้ายๆกับการหายไปของเรือและเครื่องบินบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ เกี่ยวกับสมมติฐานสุดลึกลับนี้ บางคนรวมถึงรัฐมตรีคนหนึ่งของมาเลเซีย อ้างเหตุผลถึงความเป็นไปได้ว่า จุดที่ MH370 หายไปนั้นตรงข้ามกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาที่อยู่อีกซีกโลกพอดิบพอดี แม้จะขัดแย้งกับรายงานของ The Sunday Times ที่ตรวจสอบพบว่า ฝั่งตรงข้ามของโลกกับจุดที่เครื่องบินหายไป ใกล้กับทะเลแคริบเบียนมากกว่าสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
MH370 โผล่บนดวงจันทร์
นี่อาจจะเป็นทฤษฎีหลุดโลกที่สุดแล้ว โดย 3 สัปดาห์หลังจาก MH370 หายไป Sunday Sport รายงานว่า พบเครื่องบินโบอิ้ง 777 บนดวงจันทร์ ซึ่งคาดว่าถูกยานอวกาศลึกลับดูดเข้าไป ก่อนจะปล่อยทิ้งไว้ที่ดวงจันทร์ อย่างไรก็ตาม เปอร์เซ็นต์ความน่าเชื่อถือของทฤษฎีดังกล่าวแทบเป็นไปไม่ได้ หลังมีนักเขียนหลายคนออกมาชำแหละบทความดังกล่าวว่า เนื้อหาซ้ำกับสกู๊ปพบเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 สมัยสงครามโลกบนดวงจันทร์เมื่อ 26 ปีก่อนเป๊ะๆ ซึ่งสุดท้ายก็ไม่มีซากเครื่องบินบนดวงจันทร์จริงๆ
ภาพ : เอเอฟพี


