posttoday

ปมแคชเมียร์จุดระเบิด "อินเดีย-ปากีสถาน" เดือด

04 มีนาคม 2562

เป็นสถานการณ์โลกที่ต้องจับตาสำหรับการเปิดฉากสู้รบระหว่าง "อินเดีย" และ "ปากีสถาน" ที่ทวีความรุนแรงอย่างเหนือความคาดหมายของหลายฝ่าย

เป็นสถานการณ์โลกที่ต้องจับตาสำหรับการเปิดฉากสู้รบระหว่าง "อินเดีย" และ "ปากีสถาน" ที่ทวีความรุนแรงอย่างเหนือความคาดหมายของหลายฝ่าย

*******************************

โดย...นรินรัตน์ พรหมพิทักษ์

ในช่วงไม่กี่วันมานี้ ความขัดแย้งในเอเชียใต้ระหว่าง “อินเดีย” และ “ปากีสถาน” ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างเหนือความคาดหมายของหลายฝ่าย จนทำให้ทั่วโลกต่างจับตามองสถานการณ์ดังกล่าวด้วยความหวาดหวั่น

ต้นตอการปะทะยังคงเป็นเรื่อง “แคว้นแคชเมียร์” ที่เป็นปมขัดแย้งยืดเยื้อยาวนานถึง 71 ปี และการเปิดฉากสู้รบตอบโต้กันล่าสุด คาดว่าจะยิ่งส่งผลให้ทั้งอินเดียและปากีสถานร้าวฉานยิ่งขึ้นไปอีก

ตัวจุดชนวนการปะทะรอบใหม่มาจากเหตุระเบิดพลีชีพในแคชเมียร์ เมื่อวันที่ 14 ก.พ. ส่งผลให้เจ้าหน้าที่กึ่งทหารของอินเดียเสียชีวิตไป 44 ราย โดยหลังเกิดเหตุได้ไม่นาน กลุ่มหัวรุนแรง จาอิช-อี-โมฮัมหมัด (JeM) ซึ่งมีฐานที่มั่นในปากีสถานออกมาแสดงความรับผิดชอบ

แม้รัฐบาลปากีสถานยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มหัวรุนแรงดังกล่าว แต่ทางการอินเดียไม่เชื่อโดยระบุว่าอินเดียมีหลักฐานว่ารัฐบาลปากีสถานเกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้อินเดียใช้เหตุระเบิดพลีชีพเปิดฉากโจมตี เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ด้วยการส่งเครื่องบินไปกวาดล้างฐานกลุ่ม JeM โดยระบุว่าเป็นการชิงลงมือป้องกันตัวเองจากกลุ่มก่อการร้ายก่อน นับเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี ที่เครื่องบินรบอินเดียบินข้ามเส้นควบคุม (Line of Control) ที่กั้นแบ่งพรมแดนระหว่างปากีสถาน

การโจมตีดังกล่าวทำให้ปากีสถานตอบโต้กลับในวันถัดมา ด้วยการยิงเครื่องบินอินเดียตก 2 ลำ และจับตัวนักบินเอาไว้ โดยนายกรัฐมนตรี อิมราน ข่าน ของปากีสถาน เรียกร้องให้อินเดียหันหน้ามาเจรจา ขณะที่นายกรัฐมนตรี นเรนทร โมที ของอินเดีย ระบุให้ปากีสถานปล่อยตัวนักบินทันที และจะพิจารณาใช้ทุกวิถีทางในการแก้ความขัดแย้งครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีทางการทูตหรือปฏิบัติการทางทหารก็ตาม

ขณะนี้เหตุสู้รบดังกล่าวยังไม่มีวี่แววว่าจะบานปลายกลายเป็นสงคราม แต่สถานการณ์ล่าสุดจะยิ่งเติมเชื้อไฟให้ทั้งสองชาติยิ่งยืดเยื้อรุนแรงหนักขึ้น

สัญญาณที่ว่าเห็นได้ชัดเจนจากฝั่งอินเดีย ที่ถือไพ่เหนือกว่าปากีสถานทั้งในด้านเศรษฐกิจและกำลังทหาร

ก่อนหน้านี้ อรุณ เจตลี รัฐมนตรีคลังอินเดีย เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า อินเดียจะดำเนินมาตรการทางการทูตทุกวิถีทางเพื่อโดดเดี่ยวปากีสถาน และเพิกถอนสถานะชาติที่ได้รับอนุเคราะห์ยิ่ง (Most Favored Nation : MFN) ซึ่งเป็นสถานะประเทศคู่ค้าที่ทำให้ปากีสถานได้เปรียบมากกว่าชาติอื่นๆ ที่ไม่ได้รับสถานะดังกล่าวในการทำการค้ากับอินเดีย

นอกจากถอนสถานะดังกล่าวแล้ว รัฐบาลอินเดียยังขึ้นภาษีศุลกากรจากปากีสถานเพิ่มอีก 200%

แม้ปริมาณการค้าขายระหว่างอินเดียและปากีสถานไม่สูงมากนักอยู่ที่ 2,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7.2 หมื่นล้านบาท) ช่วงปี 2016-2017 โดยอินเดียเป็นคู่ค้าลำดับ 14 ของปากีสถาน แต่การใช้มาตรการทางเศรษฐกิจดังกล่าวถือเป็นการกระทำเชิงสัญลักษณ์ว่าอินเดียคงไม่ยอมถอยก่อน

ปมแคชเมียร์จุดระเบิด "อินเดีย-ปากีสถาน" เดือด

ในแง่แสนยานุภาพทางทหารนั้น สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการศึกษายุทธศาสตร์ (IISS) ระบุว่า ในปีที่แล้วอินเดียจัดสรรงบประมาณจำนวน 5.8 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.8 ล้านล้านบาท) หรือ 2.1% ของจีดีพี ขณะที่ปากีสถานจัดสรรงบให้กองทัพ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 3.4 แสนล้านบาท) หรือ 3.6% ของจีดีพี

อินเดียมีกองทัพขนาดใหญ่กว่า โดยมีจำนวนทหารทั้งหมด 4 ล้านนาย รถถัง 4,426 คัน เครื่องบินขับไล่และเครื่องบินโจมตี 590 และ 804 ลำ เมื่อเทียบปากีสถานที่จำนวนทหารทั้งหมด 9 แสนนาย รถถัง 2,182 คัน เครื่องบินขับไล่และเครื่องบินโจมตี 320 และ 410 ลำ

ในส่วนขีปนาวุธนิวเคลียร์ ปากีสถานมีหัวรบนิวเคลียร์ 140-150 ลูก ขณะที่อินเดียมีหัวรบนิวเคลียร์ 130-140 ลูก ตามข้อมูลของ Federation of American Scientists และ Global Fire Power

ถึงปากีสถานมีโครงการพัฒนาขีปนาวุธที่ร่วมมือกับจีน แต่ขีปนาวุธ “Shaheen 2” ที่ปากีสถานมีอยู่มีพิสัยยิงไกลสุด 2,000 กิโลเมตร ด้านอินเดียมีขีปนาวุธที่ใช้งานได้อยู่ 9 ประเภท รวมถึง “Agni-3” ที่มีพิสัยการยิง 3,000-5,000 กิโลเมตร

จากขุมพลังดังกล่าวจึงไม่แปลกที่อินเดียจะลุยโจมตีต่อ

ไม่เพียงเท่านั้น การเลือกตั้งทั่วไปของอินเดียที่จะเกิดขึ้นในเดือน พ.ค. ยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญ โดยนายกฯ โมที คาดว่าจะเดินหน้าปฏิบัติการทหารกับปากีสถานต่อเพื่อปลุกกระแสชาตินิยมของชาวฮินดูในประเทศ และฟื้นความนิยมให้พรรครัฐบาลบีเจพี

ซันดีป ศาสตรี ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย Jain University กล่าวว่า คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่การโจมตีกลุ่มหัวรุนแรงทางอากาศเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา อาจเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญหาเสียงปลุกกระแสชาตินิยม

ไฟแห่งการสู้รบล่าสุดจึงยังไม่มีวี่แววจะดับลงโดยง่าย และคงต้องจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป

ภาพ เอเอฟพี

ข่าวล่าสุด

ล้ำไปอีกขั้น เสื้อกั๊ก AI ช่วยผู้ป่วยหลอดเลือดสมองขยับแขน