"โซเชียลเครดิต" เมื่อ"จีน"ลุยขจัดสังคมไร้คุณภาพ
โซเชียลเครดิต หรือระบบคะแนนความน่าเชื่อถือทางสังคม เป็นเครื่องมือที่รัฐบาลจีนคิดค้นขึ้นมาเพื่อมุ่งควบคุมความประพฤติของชาวจีนโดยเฉพาะ
โซเชียลเครดิต หรือระบบคะแนนความน่าเชื่อถือทางสังคม เป็นเครื่องมือที่รัฐบาลจีนคิดค้นขึ้นมาเพื่อมุ่งควบคุมความประพฤติของชาวจีนโดยเฉพาะ
*******************************
โดย...จุฑามาศ เนาวรัตน์
การที่ใครสักคนถูกลงโทษด้วยการจำกัดสิทธิไม่ให้ซื้อตั๋วเครื่องบิน เพียงเพราะเคยนำสุนัขออกจากบ้านโดยไม่ใช้สายจูง คงฟังดูน่าเหลือเชื่อไม่น้อย แต่ก็เกิดขึ้นจริงแล้วในประเทศ “จีน” ซึ่งชีวิตพลเมืองกว่า 1,400 ล้านคน ถูกตัดเกรดความประพฤติภายใต้ระบบที่เรียกว่า “โซเชียลเครดิต” (Social Credit)
โซเชียลเครดิต หรือระบบคะแนนความน่าเชื่อถือทางสังคม เป็นเครื่องมือหนึ่งที่รัฐบาลจีนคิดค้นขึ้นมาใช้ตั้งแต่ปี 2014 เพื่อมุ่งควบคุมความประพฤติของชาวจีนโดยเฉพาะ ผ่านการเพิ่มหรือหักลบคะแนนตามพฤติกรรมของแต่ละบุคคล และหากใครที่มีคะแนนแย่ก็จะต้องถูกตัดสิทธิในชีวิตประจำวันหลายอย่าง ตามสโลแกนของระบบที่ว่า “เมื่อทำผิดเพียงครั้งเดียว คุณจะต้องเผชิญการถูกควบคุมทุกที่”
ศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติของจีน (เอ็นพีซีไอซี) เปิดเผยว่า เมื่อปีที่ผ่านมาเพียงปีเดียว มีประชาชนชาวจีนหลายสิบล้านคนได้ถูกจำกัดสิทธิในชีวิตประจำวันหลายอย่าง เพราะมีพฤติกรรมที่ไม่น่าไว้วางใจบ่อยครั้ง เช่น ไม่จ่ายภาษี ไม่ทำตามกฎจราจร สูบบุหรี่ในที่สาธารณะ หรือแม้กระทั่งพาสุนัขออกจากบ้านโดยไม่ใช้สายจูง
เอ็นพีซีไอซี ระบุว่า มีชาวจีนราว 17.5 ล้านคน ถูกจำกัดสิทธิไม่ให้ซื้อตั๋วเครื่องบิน 5.5 ล้านคนถูกจำกัดสิทธิไม่ให้ซื้อตั๋วรถไฟ และราว 2.9 แสนคน ถูกจำกัดสิทธิไม่ให้เข้ารับตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง หรือทำงานเป็นตัวแทนด้านกฎหมาย ขณะที่ธุรกิจจีนที่ทำความผิดอีกกว่า 3.59 แห่ง ได้ถูกจำกัดสิทธิไม่ให้เข้าลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และห้ามเข้าร่วมการประมูลที่ดินและประมูลโครงการต่างๆ
ในทางกลับกัน โซเชียลเครดิตก็ได้กลายเป็นสิ่งที่กดดันให้คนกว่า 3.51 ล้านคน หันมาชำระหนี้ ชำระภาษี และจ่ายค่าปรับตรงตามเวลา
ปัจจุบัน รัฐบาลจีนได้นำระบบโซเชียลเครดิตไปนำร่องใช้ในบางเมืองของจีนเท่านั้น ซึ่งรวมถึงกรุงปักกิ่งด้วย โดยรัฐบาลเตรียมนำระบบนี้ไปใช้ให้ครอบคลุมทั่วประเทศในปี 2020 ซึ่งนั่นเท่ากับว่าชีวิตประจำวันของชาวจีนทุกคนบนผืนแผ่นดินมังกร จะต้องถูกจับจ้องด้วยกล้องวงจรปิด ที่ติดตั้งเทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าอันทันสมัย ไปทุกย่างก้าว ทุกที่ และทุกเวลา
สังคมจีนไม่น่าไว้วางใจ
แม้ว่าคนภายนอกมองว่า การต้องถูกจับจ้องพฤติกรรมจากรัฐบาลตลอด 24 ชั่วโมงนั้นเป็นเรื่องที่น่าขนลุก หรือเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากเกินไป แต่สำหรับในสังคมจีนแล้วนั้น โซเชียลเครดิตกลับกลายเป็นสิ่งที่คนส่วนมากยอมรับได้ เพราะระบบนี้ได้สร้างสิ่งที่สังคมจีนในปัจจุบันกำลังขาดแคลนอย่างหนัก นั่นก็คือ “ความไว้วางใจ”
รัฐบาลจีนเคยระบุว่า จุดมุ่งหมายสำคัญของระบบโซเชียลเครดิต คือ การเพิ่มความสงบเรียบร้อยให้แก่สังคมจีนที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากการปฏิรูปเศรษฐกิจในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา เพราะจีนกำลังเผชิญปัญหาแอบแฝงจากการพัฒนาที่รวดเร็วเกินไป ซึ่งก็คือ เศรษฐกิจได้เติบโตแซงหน้าความสามารถในสร้างสถาบันช่วยเสริมสร้างความไว้วางใจระหว่างประชาชนและภาคธุรกิจไปแล้ว
จากผลสำรวจความคิดเห็นชาวจีนกว่า 2,200 คน โดยมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน ในเยอรมนี พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 76% มองว่าปัญหาใหญ่ของสังคมจีนในตอนนี้คือ ความไม่ไว้วางในซึ่งกันและกันของประชาชน และระบบโซเชียลเครดิตก็ถูกมองว่าเป็นวิธีที่จะเข้ามาเชื่อมช่องว่างแห่งความไว้วางใจที่หายไปนี้
ตัวอย่างของความไม่น่าไว้วางใจในสังคมจีนมีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการที่จีนเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยสินค้าปลอม เช่น เหตุการณ์ที่ผู้ผลิตนมรายหนึ่งของจีนออกมายอมรับว่า นมผงสำหรับเด็กนั้นมีการปนเปื้อนเกิดขึ้น จนทำให้ผู้ปกครองชาวจีนไม่ไว้วางใจผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมนมในประเทศ ขณะที่การคอร์รัปชั่น หลอกหลวง และฉ้อโกง ก็ยังคงเป็นสิ่งที่พบเจอในสังคมจีนได้บ่อยครั้ง
ถูกใจพลเมืองปักกิ่ง
แทนที่จะไม่พอใจกับการต้องอยู่ภายใต้การถูกจับจ้องจากรัฐบาลตลอดเวลา แต่จากผลสำรวจเดียวกันนั้นพบว่า ชาวจีนผู้ตอบแบบสอบถามราว 80% ยินยอมพร้อมใจที่จะอยู่ใต้ระบบโซเชียลเครดิต และสิ่งที่น่าตกใจคือ ผู้ที่เห็นด้วยอย่างมากกับระบบนี้คือ กลุ่มผู้มีการศึกษา มีฐานะดี และกลุ่มผู้สูงอายุ
นอกจากนี้ ชาวจีนยังรู้สึกชื่นชอบและสนุกสนานไปกับการเห็นคนในสังคมต้องถูกขึ้นแบล็กลิสต์ภายใต้ระบบโซเชียลเครดิตอีกด้วย โดยในปี 2016 เมื่อเอ็นพีซีไอซีได้เผยแพร่รายชื่อของคนที่ถูกจำกัดสิทธิไม่ให้ซื้อตั๋วเครื่องบินลงบน เว่ยป๋อ โซเชียลเน็ตเวิร์กยอดนิยมของจีน ชาวจีนก็ได้แห่เข้ามากดไลค์ชอบใจกันร่วมหลายพันไลค์
บลูมเบิร์กระบุว่า ในความเป็นจริงแล้วนั้น การที่คนจีนส่วนมากยินยอมที่จะถูกจับตามองตลอดเวลาจากรัฐบาลนั้นเป็นเพราะระบบโซเชียลเครดิตได้นำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้จริงๆ ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่าหากจะแลกความเป็นส่วนตัวของชีวิตให้กับรัฐบาล และคงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่มากนักสำหรับจีน ประเทศที่ประชากรต้องอยู่ภายใต้การถูกควบคุมจากรัฐ 100%
อย่างไรก็ดี แน่นอนว่าโซเชียลเครดิตไม่ใช่ระบบที่ทุกคนในจีนจะยอมรับได้ เพราะไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้ว่ามันครอบคลุมชีวิตคนของใต้ระบบมากแค่ไหน และนิยามคำว่าพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมไว้อย่างไร เนื่องจากรัฐบาลไม่เคยเปิดเผยในประเด็นนี้อย่างชัดเจน
ในทำนองเดียวกัน การกำหนดขอบเขตที่ไม่ชัดเจนเช่นนี้ ทำให้รัฐบาลจีนอาจใช้โซเชียลเครดิตพุ่งเป้าไปที่ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลโดยเฉพาะ โดยใช้ข้ออ้างว่าเป็นหนึ่งในพฤติกรรมที่เลวร้าย ซึ่งสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส รายงานว่า ในตอนนี้มีนักวิจารณ์รัฐบาลหรือนักข่าวชาวจีนหลายคนที่เริ่มพบว่าคะแนนในระบบโซเชียลเครดิตของตัวเองนั้นอยู่ในระดับต่ำ
“ฉันซื้อตั๋วเครื่องบินไม่ได้ ฉันซื้อสินทรัพย์ไม่ได้ และลูกของฉันก็เข้าโรงเรียนเอกชนไม่ได้ โซเชียล เครดิตได้ทำให้ฉันรู้สึกว่าถูกควบคุมอยู่ทุกเวลา” ลิ่วหู นักข่าวชาวจีนรายหนึ่งกล่าว


