‘มะคาบะ’ แฟรนไชส์ขนมแดนอิเหนา
“เมื่อได้เดินเข้าร้านอาหารบรรยากาศดีๆ ทานอาหารที่หน้าตาสวยงาม การถ่ายภาพจากสมาร์ทโฟนลงสื่อโซเชียลมีเดียเสมือนวิถีของคนรุ่นใหม่”
โดย...ปิยนุช ผิวเหลือง
“เมื่อได้เดินเข้าร้านอาหารบรรยากาศดีๆ ทานอาหารที่หน้าตาสวยงาม การถ่ายภาพจากสมาร์ทโฟนลงสื่อโซเชียลมีเดียเสมือนวิถีของคนรุ่นใหม่” มะคาบะได้ใช้พฤติกรรมของคนทั่วไปนี้มาสร้างให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ
ยิบราน รากาบูมมิง รากา (Gibran Rakabuming Raka) นักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่วัย 28 ปี ลูกชายคนโตของประธานาธิบดีอินโดนีเซีย โจโก วิโดโด โดยรากาเป็นเจ้าของแฟรนไชส์ มะตะบัค ขนมยอดนิยมในอินโดนีเซีย ภายใต้ชื่อแบรนด์ “มะคาบะ” (Markobar) มะตะบัค คืออาหารท้องถิ่นในอินโดนีเซีย ลักษณะคล้ายแพนเค้ก แต่มีความนุ่มและเหนียวกว่า สอดไส้ด้วยช็อกโกแลต ชาเขียว และไส้ต่างๆ
ปัจจุบันมะคาบะ (Markobar) มีสาขาทั้งหมด 6 แห่ง ตั้งอยู่ในเมืองโซโล 2 แห่ง และในพื้นที่อื่นๆ คือ เมืองยอกยาการ์ตา (Yogyakarta) เมืองเซอมารัง (Semarang) เมืองจาการ์ตา และเป็นฟู้ดทรัก (Food Truck) ร้านอาหารแบบเคลื่อนที่อีก 1 แห่ง และในปีนี้ได้เปิดร้านอาหารขนาดเล็กในสิงคโปร์เพิ่มอีกแห่ง โดยยังคงมีเมนูมะตะบัคอยู่ในทุกสาขา
การเติบโตทางธุรกิจของมะคาบะนั้น ทั้งมีแผนขยายสาขาเกี่ยวกับร้านอาหารเพิ่มครอบคลุมพื้นที่อาเซียนเริ่มต้นในมาเลเซีย บรูไน ไทย และฟิลิปปินส์ ซึ่งได้เริ่มทำการตลาดในฟิลิปปินส์แล้ว ผ่านงานมหกรรมอาหารที่เมืองมะนิลา
“พื้นที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน รวมทั้งรสนิยมด้านอาหารการด้วยการเริ่มต้นบุกพื้นที่ใกล้เคียง จึงเป็นแผนการขยายตลาดต่างประเทศแรกๆ โดยต่อยอดเป็นธุรกิจร้านอาหารที่มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ที่สิงคโปร์ที่ไม่ได้ขายแค่ของหวานเท่านั้น แต่ต้องปรับและเลือกนำเสนออาหารที่ตรงกับตลาด และพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศนั้นๆ” รากา ฉายภาพถึงแผนการขยายตลาดแฟรนไชส์มะคาบะ
สำหรับจุดเด่นของแบรนด์ รากา บอกว่าคือ ความอร่อยและการเลือกใช้วัตถุดิบเกรดพรีเมียม ทั้งช็อกโกแลตและเนื้อแป้ง ซึ่งได้ประยุกต์จากขนมท้องถิ่นของอินโดนีเซีย อีกทั้งรูปลักษณ์ของอาหารที่สวยงาม เพราะพฤติกรรมการบริโภคของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนแปลงไป ในลักษณะช็อป ชิม แชร์ เมื่อบรรยากาศร้านน่านั่ง อาหารน่าตาสวย ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการก็สามารถถ่ายภาพและแชร์ลงในสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ ได้ ซึ่งนั่นทำให้ร้านและอาหารของเราเป็นที่รู้จักและกระจายความนิยมออกไปอย่างรวดเร็ว
วิธีนี้ถือเป็นการทำการตลาดโดยที่ไม่ต้องลงทุนและประสบความสำเร็จสูงมาก ดังนั้นมะคาบะ (Markobar) จึง ได้ทำเน้นการตลาดบนพื้นที่ออนไลน์มากถึง 80% ทั้งเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และทวิตเตอร์ ซึ่งทั้ง 3 อย่างนี้ เป็นโซเชียลมีเดียหลักที่คนอินโดนีเซียนิยมเล่นมากที่สุด พบว่ามียอดผู้ติดตามมะคาบะ (Markobar) ในอินสตาแกรม 6.1 หมื่นคน ติดตามในเฟซบุ๊ก 4,723 คน และทวิตเตอร์ 2.44 หมื่นคน โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือ กลุ่มวัยรุ่นที่ชอบทานของหวานและนิยมใช้โซเชียลมีเดีย
ทั้งนี้ ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ธุรกิจด้านอาหารอย่างเต็มตัว รากาเคยทำธุรกิจเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์ของบิดา และปัจจุบันรากาก็ยังทำธุรกิจอีกหลายอย่างควบคู่กันไปด้วย โดยรากาให้เหตุผลว่า เพราะเขา “รักการทำธุรกิจ” และมีความถนัดด้านนี้มากกว่าด้านการเมืองแบบบิดา และมองเห็นว่าธุรกิจด้านอาหารนี้มีโอกาสการเติบโตที่สูงมาก
ทว่า การเข้าสู่ธุรกิจด้านอาหารของรากาก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะต้องเริ่มนับตั้งแต่ศูนย์ โดยได้รับการสนับสนุนจากพ่อแม่ของเขา ด้วยการนำธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ของครอบครัวมาใช้สำหรับกู้ยืมเงินลงทุนจากธนาคาร
รากา บอกว่า ช่วง 1-2 ปีแรก ในการเริ่มต้นธุรกิจนับว่าเป็นช่วงที่ยากลำบากมากที่สุดของรากา เนื่องจากไม่มีความรู้ทางด้านอาหาร แต่อาศัยการเป็นคนชอบแสวงหาความรู้และเริ่มทดลองทำอาหาร อีกทั้งรักการเดินทาง จึงได้มีโอกาสสัมผัสกับร้านอาหารในหลายพื้นที่ทั่วโลก และมีความภูมิใจในอาหารของอินโดนีเซีย ทั้งต้องการเผยแพร่สู่ประเทศอื่นทั่วโลก
“ผมภูมิใจกับผู้คน วัฒนธรรม และอาหารทุกอย่างของอินโดนีเซีย และเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้ธุรกิจด้านอาหารของผมเติบโตได้นั้นมาจากคุณภาพ รสชาติอาหารและการบริการ ไม่ได้มาจากการที่ผมเป็นลูกชายของประธานาธิบดี” รากา กล่าว
ปัจจุบันรากาอาศัยอยู่ในเมืองโซโล ซึ่งเป็นบ้านเกิดของตัวเอง และแต่งงานไปเมื่อปี 2558 กับเซลวี อนันดา (Selvi Ananda) โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา รากาและเซลวีเพิ่งมีลูกชายด้วยกัน 1 คน ตามที่รากาเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ผมรักการใช้ชีวิตเรียบง่าย สมถะและได้ทำในสิ่งที่รัก


