ไอเอสยึด "พัลไมรา" หวั่นมรดกโลกพินาศ
ทั่วโลกกังวล "กลุ่มไอเอส" เข้ายึดเมืองพัลไมรา ในซีเรีย หวั่นมรดกโลกอายุกว่า 2,000ปีถูกทำลาย
ทั่วโลกกังวล "กลุ่มไอเอส" เข้ายึดเมืองพัลไมรา ในซีเรีย หวั่นมรดกโลกอายุกว่า 2,000ปีถูกทำลาย
หลังจากที่กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ยึดเมืองรามาดีซึ่งเป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญทางภาคตะวันตกของอิรักเพียงไม่กี่วัน ทางกลุ่มได้ประกาศชัยครั้งใหม่ด้วยการบุกยึดเมืองพัลไมราที่ตั้งของมรดกโลกอายุกว่า 2,000 ปี ในประเทศซีเรียได้สำเร็จ สร้างความกังวลไปทั่วโลกว่ากลุ่มก่อการร้ายอาจทำลายโบราณสถานสำคัญเช่นเดียวกับที่เคยเกิดในประเทศอิรัก
เมืองพัลไมรานั้นถือเป็นจุดยุทธศาตร์สำคัญ เพราะตั้งอยู่บนเส้นทางระหว่างกรุงดามัสกัสกับเมืองดีร์อัลซูร์ที่ถูกยึดครองก่อนหน้านี้ และอยู่ไม่ห่างจากคลังเก็บน้ำมันและก๊าซที่ทางรัฐบาลใช้เป็นแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้า โดยชาวซีเรียขนานนามเมืองพัลไมราว่าเป็น “เจ้าสาวแห่งทะเลทราย” ก่อนเกิดสงคราม เมืองแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีผู้คนมาเยือนปีละหลายพันคน
สมัยก่อนเมืองโบราณแห่งนี้เคยเป็นเส้นทางสายไหมและศูนย์กลางแห่งวัฒนธรรม เนื่องจากอยู่บนจุดตัดเส้นทางคาราวานจากหลายอารยธรรม มหาวิหารแห่งเทพเบลและแนวเสาหินที่เรียงรายอยู่บนถนนแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างอิทธิพลของศิลปะเกรโก-โรมันและเปอร์เซีย
ทว่า หลังจากการยึดครองของกลุ่มไอเอส กองกำลังทหารของซีเรียได้ถอนกำลังออกจากพื้นที่ จึงทำให้ รามี อับดุล รามาน หัวหน้ากลุ่มสังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในซีเรียกังวลว่าจะไม่มีทหารคอยรักษาการณ์ไม่ให้กลุ่มก่อการร้ายโจมตีโบราณสถานเมืองพัลไมรา
นอกจากนี้ ไอรินา โบโกวา ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) แสดงความกังวลว่า ไอเอสจะทุบทำลายโบราณสถานในเมืองพัลไมรา โดยเรียกร้องให้นานาชาติช่วยกันปกป้องประชาชนและมรดกทางวัฒนธรรมเก่าแก่แห่งนี้อย่างเต็มกำลัง
อย่างไรก็ดี มาโมอัน อับดุล การิม หัวหน้าฝ่ายโบราณสถานและพิพิธภัณฑ์ในซีเรีย เผยว่า ได้เคลื่อนย้ายบรรดารูปปั้นในพัลไมราไปเก็บรักษายังที่ปลอดภัยแล้ว มีเพียงอนุสาวรีย์และสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่เท่านั้นที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้
ทั้งนี้ กลุ่มไอเอสเคยบุกทำลายโบราณสถานอารยธรรมของชาวอัสซีเรียนอายุ 3,000 ปี ในเมืองนิมรัด ประเทศอิรัก ด้วยการทุบรูปปั้นและโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์ของเมืองโมซุล รวมทั้งใช้รถแทรกเตอร์พุ่งชนจนเสียหาย
ขณะที่วันเดียวกัน หน่วยข่าวกรองของสหรัฐเผยแพร่เอกสารที่ยึดได้จากปฏิบัติการสังหาร โอซามา บินลาเดน เมื่อปี 2011 พบว่า ผู้นำสูงสุดของกลุ่มอัลกออิดะห์เตือนไม่ให้นักรบจีฮัดก่อตั้งกลุ่มรัฐอิสลาม ให้มุ่งโจมตีสหรัฐเพียงอย่างเดียว ทั้งยังเขียนจดหมายถึงกลุ่มก่อการร้ายในแอฟริกาเหนือให้โจมตีสถานทูตและบริษัทน้ำมันสัญชาติอเมริกันแทนการกระจายข้อมูลเกี่ยวกับรัฐอิสลาม โดยก่อนที่บินลาเดนจะเสียชีวิตนั้นกลุ่มไอเอสยังไม่ก่อตัวด้วยซ้ำ


