"อัล-ซีซี"จากผู้นำทหารสู่บัลลังก์ปธน.อียิปต์

โดย...ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

วันที่ 8 มิ.ย.2557 เป็นอีกหนึ่งวันที่ทั่วโลกต้องจับตามองไปที่อียิปต์ เมื่อ พลเอก อับเดล ฟัตตาห์ อัล-ซีซี อดีตผู้บัญชาการทหารของอียิปต์ ได้เข้าพิธีสาบานตนขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ หลังจากที่เจ้าตัวได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งผู้นำประเทศเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ด้วยคะแนนท่วมที่ 96.91% ของผู้มีสิทธิออกเสียงทั่วทั้งประเทศ

ในระหว่างเข้ารับตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศ อัล-ซีซี ได้ประกาศให้คำมั่นต่อหน้าประชาชนว่า จะเคารพรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย พร้อมกับดูแลผลประโยชน์ของประชาชน ปกป้องอธิปไตยของชาติ

อย่างไรก็ตาม แม้วันนี้ อัล-ซีซี จะพิสูจน์ให้เห็นว่า เจ้าตัวสามารถนำพาประเทศหลุดพ้นจากความวุ่นวาย ไปสู่ระบอบการปกครองในแบบประชาธิปไตยได้อย่างเต็มภาคภูมิ   แต่ต้องยอมรับว่า เส้นทางเดินของ อัล-ซีซี ก่อนจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดที่มาตามระบอบประชาธิปไตยของอียิปต์ในวันนี้ ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่หลายคนคิด เพราะเจ้าตัวเริ่มต้นด้วยต้นทุนที่ติดลบมาก่อน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อ อัล-ซีซี ได้ก้าวขึ้นมามีอำนาจรัฐอย่างเต็มตัวจากผลการ ตัดสินใจนำกองทัพเข้ายึดอำนาจการปกครองจาก รัฐบาลพรรคการเมืองสายมุสลิม ของประธานาธิบดี โมฮัมเหม็ด มอร์ซี ที่ได้มาจากการเลือกตั้ง เมื่อต้นเดือน ก.ค. ปี 2013  โดยอ้างเหตุถึง ความต้องการของประชาชนที่ต้องการโค่นล้มรัฐบาลชุดดังกล่าว เพราะก่อนหน้านั้นสถานการณ์ในอียิปต์ เต็มไปด้วยความวุ่นวายทางการเมืองมานานหลายเดือน

ไม่เพียงเท่านั้น ชื่อเสียงของ อัล-ซีซี กลับยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก เมื่อกองทัพของอียิปต์ได้ปฏิบัติการลุยกวาดล้างกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคการเมืองสายศาสนามุสลิม หรือ กลุ่มมุสลิมภรดรภาพ ที่สนับสนุน อดีตประธานาธิบดี มอร์ซี จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 1,400 คน และคุมขังอีกกว่าหลายพันคน

แม้ อัล-ซีซี จะมีภาพพจน์ในเป็นผู้นำทางการทหารที่แข็งกร้าว แต่เจ้าตัวกลับดูจะชื่นชอบการวางตัวแบบพลเรือนมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อมีเรื่องที่ต้องชี้แจงกับสาธารณชน ก็มักเลือกแถลงและให้สัมภาษณ์ผ่านหน้าจอโทรทัศน์ พร้อมด้วยชุดสูท และใบหน้าที่ยิ้มแย้ม นอกจากนี้ เจ้าตัวยังประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารของประเทศ เพื่อมาลงรับสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีของอียิปต์อย่างเป็นทางการอีกด้วย

ถึงกระนั้น อัล-ซีซี ก็ยังคงมีมุมมองและกรอบความคิดที่ให้ความสำคัญต่อเรื่องความมั่นคงอยู่ โดยเจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อในอียิปต์ว่า "ความมั่นคงของประเทศชาติมีความสำคัญเหนือกว่าเสรีภาพของประชาธิปไตย"  

"คงจะต้องใช้เวลาอีกสัก 20 - 25 ปี กว่าจะนำพาประเทศไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงได้สำเร็จ" อัล-ซีซี กล่าว พร้อมเสริมว่า เหล่าประชาชนในโลกอาหรับส่วนใหญ่ ไม่ควรจะไปเปรียบเทียบกับหลักการประชาธิปไตยของโลกตะวันตก

ขณะที่ เสียงตอบรับของประชาชนส่วนใหญ่ต่อการก้าวขึ้นมาเป็น ผู้นำของ อัล-ซีซี  ก็ดูเหมือนจะเป็นที่ชื่นชอบไม่น้อย เพราะต่างมองว่า ด้วยความเป็นผู้นำที่มีบุคลิกเฉียบขาดแบบทหาร จะทำให้สามารถนำพาประเทศไปสู่ความมีเสถียรภาพ และสร้างความเติบโตและฟื้นฟูทางเศรษฐกิจได้ หลังจากที่ประเทศต้องจมอยู่กับความวุ่นวายมาตลอด นับตั้งแต่เกิดการปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการของ ประธานาธิบดี ฮอสนี มูบารัก เมื่อต้นปี 2011

"ผมออกเสียงให้ อัล-ซีซี เพื่อเสถียรภาพ แม้ว่าจะยังคงกลัวในเรื่องการลิดลอนเสรีภาพก็ตาม" หนุ่มอียิปต์วัย 29 รายหนึ่งกล่าว ให้สัมภาษณ์กับ เอเอฟพี  

ทั้งนี้ ประวัติของ อัล-ซีซี ก่อนที่จะขึ้นมามีบทบาทเด่นในทางการเมือง เจ้าตัว จบการศึกษาด้านการทหารจากสหรัฐ ในปี 2006 และหลังจากนั้น ก็กลับมาทำงานโดยเข้ารับตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายข่าวกรองของ อดีตประธานาธิบดี ฮอสนี มูบารัก มาก่อน นับเป็นหัวหน้าที่อายุน้อยที่สุดที่รั้งตำแหน่งดังกล่าวในประวัติศาสตร์ของอียิปต์ ณ เวลานั้น

ทว่า หลังจากที่ มูบารัก โดนโค่นลงจากอำนาจจากการลุกฮือขึ้นประท้วงของประชาชนในต้นปี 2011  ประธานาธิบดี มอร์ซี ซึ่งมีฐานเสียงเป็นกลุ่มการเมืองฝักใฝ่ศานาอิสลาม ได้เลื่อนขั้นให้ อัล-ซีซี ก้าวขึ้นเป็นรัฐมนตรีกลาโหม นับเป็นการยืนยันถึงการมีอำนาจของฝ่ายพลเรือนเหนือทหาร ในระหว่างยุคหลังการโค่นล้มของ มูบารัค กับ ช่วงการเลือกตั้งทั่วไปของอียิปต์ในปี 2012  ก่อนที่จะก้าวขึ้นมามีบทบาทเด่นจากการตัดสินใจทำรัฐประหาร รัฐบาลของ ประธานาธิบดี มอร์ซี ในวันที่ 3 ก.ค.ปี 2013

ภาพ : เอเอฟพี