posttoday

สำรวจพื้นที่สงคราม ริมฝั่งน้ำ 'สาละวิน' (ตอนที่1)

20 กันยายน 2552

โดย...ทีมสนามข่าวสีแดง

โดย...ทีมสนามข่าวสีแดง

เสียงแห่งความทุกข์ยากในสถานการณ์สงบ เสียงปืน เสียงระเบิดจากการสู้รบ เงียบหายไปจากแนวแม่น้ำเมยกว่า 2 เดือนแล้ว ไฟสงครามมอดไป แม้มิอาจวางใจว่าดับสนิท แต่อย่างน้อยสถานการณ์ชายแดนไทยพม่าก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง แต่หากมองลึกข้ามเข้าไปยังพื้นที่เขตแดนของพม่า เสียงร่ำร้องด้วยความยากเข็ญจากผลพวงของสงครามยังดังก้องอยู่อย่างที่เคยเป็นมา ไม่เพียงไร้ความหวังที่ทุกขเวทนานี้จะบรรเทาเบาลง แต่อนาคตเบื้องหน้าที่ไม่ไกลนักก็พอทำให้ผู้คนในดินแดนนี้มองเห็นถึงมหันตภัยครั้งใหม่ที่กำลังคืบคลานเข้ามาทุกขณะ

การสู้รบระหว่างกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) กับกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธเพื่อประชาธิปไตย (DKBA) ที่มีรัฐบาลพม่าหนุนหลัง ในพื้นที่กองพล 7 KNU ด้านตรงข้าม จ.ตาก ตั้งแต่เดือนมี.ค. จนถึงมิ.ย.ที่ผ่านมา ยุติลงด้วยการที่ DKBA สามารถยึดครองพื้นที่ของกองพล 7 ซึ่งติดแนวชายแดนไทยได้เกือบทั้งหมด โดยกองกำลังฝ่าย KNU พยายามหลีกเลี่ยงการปะทะซึ่งหน้า ยอมทิ้งพื้นที่ถอยร่นขึ้นไปรวมกับกองกำลังของกองพล 5 KNU ด้านตรงข้าม อ.สบเมย และแม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อรักษากองกำลังส่วนใหญ่เอาไว้เตรียมรับกับการโจมตีครั้งใหม่ของ DKBA และกองกำลังรัฐบาลพม่า

ผลพวงการสู้รบดังกล่าวทำให้ประชาชนกะเหรี่ยงในฝั่งพม่าหนีภัยการสู้รบข้ามแม่น้ำเมยเข้ามายังเขตประเทศไทยกว่า 3,000 คน กระจายอยู่ในศูนย์ให้ความช่วยเหลือผู้หนีภัย 4 แห่ง ได้แก่ บ้านแม่อุสุ บ้านหนองบัว บ้านแม่สลิด และบ้านแม่ตะวอ ในพื้นที่ ต.แม่อุสุ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ภายหลังการสู้รบ DKBA ได้ส่งตัวแทนเข้ามาเจรจากับฝ่ายไทย เพื่อขอรับผู้หนีภัยทั้งหมดกลับไปยังภูมิลำเนาถิ่นฐานเดิม และแม้การสู้รบจะยุติไปร่วม 2 เดือนแล้ว แต่ผู้หนีภัยการสู้รบเหล่านี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับไป ยิ่งกว่านั้นจำนวนผู้หนีภัยกลับเพิ่มมากขึ้น จนถึงขณะนี้มีมากกว่า 4,000 คน

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้หนีภัยชาวกะเหรี่ยงเหล่านี้ไม่ยอมเดินทางกลับภูมิลำเนาเดิม เนื่องจากกระแสข่าวว่ากองกำลัง DKBA ต้องการให้ประชาชนเหล่านี้เป็นทหาร เพื่อจัดตั้งกองกำลังป้องกันชายแดนตามที่ได้ตกลงไว้กับรัฐบาลพม่า

ทอนอ บยอ จากบ้านเขล่อเด จังหวัดพะอัน ตรงข้าม อ.ท่าสองยาง แม้เขาจะยังไม่ได้หนีข้ามเข้ามาฝั่งไทย แต่ก็ต้องทิ้งถิ่นฐานเดิมอพยพขึ้นมาอยู่ในพื้นที่เขตมือตรอ ตรงข้าม อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ในพื้นที่กองพล 5 KNU เขาเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดพะอัน หลังกองกำลัง DKBA และทหารรัฐบาลพม่าเข้าควบคุมพื้นที่หลังการสู้รบตั้งแต่เดือนมิ.ย.เป็นต้นมา ว่า กองกำลัง DKBA ประมาณ 5,000 คน เข้ามาตั้งฐานกระจายอยู่ในพื้นที่ตลอดแนวชายแดน และบังคับเกณฑ์ชาวบ้านให้เป็นทหาร หากใครไม่ต้องการเป็นทหารก็ต้องจ่ายเงิน 5 หมื่นจ๊าดให้กับ DKBA

“ช่วงนี้เป็นช่วงการทำไร่ ทำนา พวกเราทำมาหากินไม่ได้ ต้องหนีออกมา เพราะไม่มีความปลอดภัยเลย”

ขณะที่เรื่องราวอีกมุมหนึ่งที่ พาคือ ชาวบ้านในเขต อำเภอบือโส่ จังหวัดพะอัน ด้านตรงข้าม อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งขณะนี้ตัวเขาเองก็ยังอยู่ในพื้นที่ได้บอกเล่าให้ฟังนั้น ฉายภาพความทุกข์ยากที่ประชาชนอย่างเขาโดนกระทำชัดเจนมากยิ่งขึ้น

“DKBA ได้บังคับกวาดต้อนชาวบ้านในหมู่บ้านเล็กๆ หลายแห่งเข้ามารวมอยู่เป็นหมู่บ้านเดียวกัน ส่วนหมู่บ้านใหญ่ที่มีประชาชนอยู่เป็นจำนวนมาก มีการฝังกับระเบิดไว้รอบหมู่บ้าน ห้ามมิให้ประชาชนประกอบอาชีพหรือเคลื่อนย้ายไปไหน ทุกหมู่บ้านจะมีทหาร DKBA เข้ามาควบคุม โดยอ้างว่าทำไปเพื่อป้องกันไม่ให้ชาวบ้านติดต่อกับ KNU คุมชาวบ้านไว้เฉยๆ ไม่ให้ทำมาหากิน เกิดภาวะอดอยาก เสบียงอาหารขาดแคลน”

พาคือ บอกว่า ในพื้นที่อำเภอบือโส่ ที่ตำบลแม่เมย มีหมู่บ้าน 67 แห่ง ประชาชนประมาณ 1,000 คน ที่ถูกกวาดต้อนให้มารวมกัน ส่วนพื้นที่ทางเหนือยังไม่แน่ใจว่ามีกี่หมู่บ้าน แต่ได้ยินมาว่าประสบปัญหาเช่นเดียวกัน

เขาบอกว่า DKBA มีแผนที่จะตัดถนนจากบ้านแม่เมยทะ มายังบ้านแม่แหละท่า เชื่อมต่อกับบ้านโจ๊ะโร๊ะใกล้กับบ้านสบเมย เพื่อเป็นเส้นทางขนส่งยุทธปัจจัย และเคลื่อนพลเข้าควบคุมพื้นที่ชายแดน ขณะนี้มีการนำเครื่องจักรกลหนักเข้ามาในพื้นที่และเริ่มสร้างเส้นทางสายนี้แล้ว หากฝนหยุดตกเมื่อไหร่ก็น่าจะแล้วเสร็จภายใน 6 เดือน และหลังจากนั้นพื้นที่ของกองพล 5 ด้านตรงข้าม อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน คือพื้นที่ต่อไปซึ่งจะต้องเกิดการสู้รบอย่างหนัก

เช่นเดียวกับ เทนเดอร์ ผู้ว่าราชการเขตมือตรอของ KNU เขาบอกว่า DKBA ห้ามชาวบ้านทำมาหากิน และไม่ให้เสบียงอาหารใดๆ แก่ชาวบ้านเลย คาดว่าเสบียงอาหารที่มีอยู่ในขณะนี้น่าจะหมดในอีก 2 เดือน ซึ่งส่วนใหญ่ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ้าอยู่ไม่ได้จริงๆ ก็ต้องหนี

“เหตุผลที่ DKBA ควบคุมห้ามมิให้ชาวบ้านทำมาหากิน ก็เพื่อบีบให้ชาวบ้านยุติการให้ความร่วมมือกับ KNU เพราะทั้งหมดนี่คือมวลชนของ KNU หากชาวบ้านอยู่ไม่ได้ KNU ก็อยู่ไม่ได้”

คำบอกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าวในพื้นที่รัฐกะเหรี่ยงหลังการยึดพื้นที่ของ DKBA และกองกำลังรัฐบาลพม่า จึงกลายเป็นสาเหตุผลักดันให้ประชาชนในรัฐกะเหรี่ยง โดยเฉพาะที่อยู่ใกล้แนวชายแดน ทิ้งถิ่นฐานบ้านเรือน หลบซ่อนตามป่าเขาด้วยความหวาดผวา โดยเฉพาะกระแสข่าวที่ DKBA และรัฐบาลพม่าเตรียมโจมตีที่มั่นฝ่าย KNU ครั้งใหญ่หลังพ้นฤดูฝนไปแล้ว ก็ยิ่งทำให้ความหวาดผวากระพือไปไกล พร้อมกับจำนวนผู้ละทิ้งถิ่นฐานหนีภัยการสู้รบที่ขยับเข้ามาใกล้ชายแดนมากขึ้นทุกขณะ

ข่าวล่าสุด

SCB WEALTH กวาด 6 รางวัลระดับโลก สะท้อนความเป็นเลิศในทุกมิติการบริหารความมั่งคั่ง