‘เจ้าหญิงด๊อกมาน’ ผู้หยั่งรู้ฟ้าดินแห่งซิลล่า
โดย เพียงออ วิไลย/[email protected]
“
เจ้าหญิงด๊อกมาน” เพ่งมองดูของขวัญในกล่องด้วยความสนพระทัยยิ่ง สิ่งที่อยู่ข้างในคือเมล็ดพันธุ์พืชกับรูปวาดดอกไม้แสนสวย ..พระเจ้าจินพยองแห่งซิลล่า พระบิดา หยิบเมล็ดขึ้นมาพิจารณา พลางกล่าวว่า “นี่คือเมล็ดพันธุ์ของต้นโมราน (ธ๐ถ๕ โบตั๋น) ส่วนรูปวาดบอกว่าดอกโมรานหน้าตาเป็นอย่างไร เป็นของขวัญที่พระจักรพรรดิถังไท่จง ผู้ปกครองดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลทางเหนือ ทรงประทานมาให้เราปลูกไว้ชื่นชมความงาม” ... ใบหน้าฉลาดเฉลียวเกินกว่าพระชันษาทำท่าครุ่นคิด พลันพระเนตรเบิกกว้างกลอกไปมาราวกับเพิ่งค้นพบสิ่งที่สำคัญยิ่ง “ท่านพ่อ ดอกโมรานนี้สวยก็จริงเพคะ แต่น่าเสียดายที่มันไม่หอม” ... ต่อมาเมล็ดถูกปลูกลงดินเจริญงอกงาม และในวันที่ดอกโมรานบาน ทุกคนในพระราชวังต่างไปเฝ้าชม ได้ยินเสียงผู้คนพูดกันอื้ออึงว่า ..สวยแต่ไม่มีกลิ่นหอมจริงๆ ... ในวันนั้นหลายคนทูลถามว่า เจ้าหญิงทรงทราบล่วงหน้าได้อย่างไร เจ้าหญิงจึงเฉลยว่า ..“เจ้าดอกโมรานนี้เป็นเช่นเรา ..ในรูปวาด ดอกไม้ไร้ผีเสื้อและแมลงดอมดมฉันใด ..ก็เหมือนกับเราสตรีผู้หาบุรุษเคียงกายไม่ได้ฉันนั้น”...โอ้ว...สุดยอดคำคมพันปีมาจากราชสำนักซิลล่านี่เอง...“
เชกา” ก็เคยสงสัยค่ะว่า “อุเหม่ ทำไมคนเกาหลีถึงได้รู้สึกมั่นอกมั่นใจในประวัติศาสตร์ของตัวเองซะเหลือเกิน มีรายละเอียดปลีกย่อยเหมือนโม้” เพื่อนบางคนคุยฟุ้งถึงเรื่องราว 2,0003,000 ปีก่อน (3,000 ปีนี่ไม่ค่อยน่าเชื่อเลย) ..แต่ต่อมาภายหลังจึงได้รู้ว่าเป็นเพราะสื่อวัฒนธรรมในการเขียนของจีนสมัยโบราณ “กระดาษ น้ำหมึก และลายสือจีน” ได้แพร่ขยายไปดินแดนทางใต้จรดปลายคาบสมุทรเกาหลี กระดาษเปื่อยก็คัดลอกกันใหม่เสียที ดังนี้เกาหลีจึงใช้ตัวอักษรจีนโบราณจารึกประวัติศาสตร์สืบต่อกันมา ก่อนที่ “พระเจ้าเซจง” จะปลดแอกวัฒนธรรม ประดิษฐ์ลายสือเกาหลีเป็นของตนเองเมื่อ 500 กว่าปีที่แล้วส่วนบันทึกที่สำคัญใน
“ยุคสามก๊ก” นั้น (โคคุรยอ. .ซิลล่า, แพกเจ เป็นคนละสามก๊กกับของจีนนะคะ ได้เล่าในบทความฉบับที่แล้ว) โชคดีที่มี “ซัมกุกซากิ ฑนป็ฑโ” และ “ซัมกุกยูซา ป๏ฑนภฏป็” (ซัม = 3, กุก = ประเทศ) บันทึกประวัติศาสตร์ 2 ชุดนี้ค่ะ ที่ทำให้ชนรุ่นหลังได้รู้เรื่องราวในอดีตได้ค่อนข้างละเอียดและเป็นเหตุเป็นผล ..แม้ว่าในช่วงต้นๆ จะเป็นการบันทึกข้อสันนิษฐานเสียส่วนใหญ่ก็ตามที เพราะ “ซัมกุกซากิ” ถูกจัดทำขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 16561689 หลังจากที่ยุคสามอาณาจักรล่มสลายไปแล้วหลายร้อยปี ไม่ได้บันทึกออนไลน์อย่างทันใดในสมัยสามก๊ก ..การนี้สำเร็จได้โดยพระเจ้าอินจงแห่งราชวงศ์โครยอ ได้มีพระบัญชาให้นักปราชญ์ราชสำนักรวบรวมความรู้ที่ถ่ายทอดผ่านเรื่องเล่าจากความทรงจำของบรรพบุรุษ จากเอกสารเก่าเก็บ จากรูปวาดในอดีต จากนิทาน ตำนานพื้นบ้าน มาจัดทำบันทึกเป็นหลักฐานสู่ชนรุ่นหลัง ..แต่นักประวัติศาสตร์เกาหลีก็ถือว่า “ซัมกุกซากิ” และ “ซัมกุกยูซา” (เขียนโดยหลวงพ่ออินรยอน พระสงฆ์เกาหลี ราวปี พ.ศ. 1800) เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่และนำมาอ้างอิงได้ในซัมกุกซากิได้เล่าเกี่ยวกับพระสติปัญญาอันเฉียบแหลมของ
“เจ้าหญิงด๊อกมาน ด๖ธธ” ที่แสดงออกตั้งแต่ทรงพระเยาว์ไว้ กล่าวว่า “อันเจ้าหญิงด๊อกมานนั้น ท่านได้บรรลุเป็นผู้หยั่งรู้มาตั้งแต่เยาว์วัย” และด้วยความฉลาด ช่างสังเกต (หรือหยั่งรู้) ในเรื่อง “ดอกโบตั๋นไร้กลิ่นหอม” นี้เอง จึงทำให้พระเจ้าจินพยอง ซึ่งไร้องค์ชายรัชทายาท มีแต่พระราชธิดาหลายองค์ จึงเลือกให้เจ้าหญิงด๊อกมานเป็นรัชทายาท เมื่อพระเจ้าจินพยองเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 1175 เจ้าหญิงจึงได้ขึ้นครองราชย์เป็น “พระราชินีซอนด๊อก ซอนด๊อก ยอวาง ผฑด๖ ฟฉฟี” กษัตริย์ลำดับที่ 27 ของซิลล่า ซึ่งเป็นกษัตริย์หญิงพระองค์แรกของประวัติศาสตร์เกาหลีเรื่องดอกโบตั๋นเป็นเพียงหนึ่งใน 3 เรื่องสำคัญที่ชาวซิลล่าประโคมข่าวว่าเป็น
“การหยั่งรู้อนาคต” ของพระองค์ เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไป จึงสามารถสร้างศรัทธาในหมู่ประชาชนและขุนนาง เสมือนสวรรค์ประทานท่านมาให้ชาวโลก ... ในสมัยซิลล่านั้นผู้คนนับถือและเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น เป็นยุคที่เชื่อทั้งหมอผีวิญญาณและเรื่องราวเหนือธรรมชาติ ควบคู่ไปกับศาสนาพุทธที่เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อจิตใจในภายหลัง ความชอบธรรมของกษัตริย์และราชวงศ์จึงเกี่ยวเนื่องกับความลี้ลับในธรรมชาติที่ยังมิอาจพิสูจน์ได้ในเวลานั้นด้วย ...“
พระราชินีซอนด๊อก” ทรงครองราชย์เป็นเวลา 15 ปี จนถึงปี พ.ศ. 1190 ในประวัติศาสตร์ระบุว่า พระองค์ทรงมิได้อภิเษกสมรสกับผู้ใด ดังที่พระองค์ทำนายไว้ตั้งแต่ก่อนขึ้นครองราชย์ เมื่อทายทักดอกโบตั๋น ... ทว่าราว 20 ปีก่อน ปรากฏหนังสือ “ฮวารางเซกิ ศญถ๛ผผฑโ” ที่เขียนขึ้นในสมัยซิลล่า และหายสาบสูญไปเกือบ 700 ปีแล้ว มาค้นพบที่เมืองคิมแฮทางใต้ หนังสือระบุว่ามีตำแหน่ง “พระสวามีของพระราชินีซอนด๊อก” โดยไม่ระบุชื่อชายท่านนั้น ... จึงกลายเป็นข้อโต้แย้งว่า “ฮวารางเซกิ” ซึ่งอ้างว่าได้ลอกกันมาเป็นทอดๆ ฉบับสุดท้ายได้ลอกเมื่อ 100 ปีที่แล้วนั้น เป็นเพียงนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียนเมื่อ 100 ปีก่อน... หาไม่แล้ว หากเป็นจริงนักประวัติศาสตร์คงตกเก้าอี้ไปตามๆ กันค่ะ เพราะจะต้องล้างหนังสือประวัติศาสตร์เกาหลีทุกเล่มที่ใช้เรียนกันมา... อ้าว พื้นที่หมดอีกแล้ว ขอเล่าเรื่องหยั่งรู้ฟ้าดินที่สำคัญอีก 2 เรื่อง ในอาทิตย์หน้าค่ะ...

