มะกันอันตรายสังหารหมู่ไม่เคยมีครั้งสุดท้าย
ทุกวันนี้โรงเรียนทั่วสหรัฐได้ทุ่มงบประมาณหลายล้านเหรียญสหรัฐในการซื้อเครื่องตรวจจับโลหะ กล้องซีซีทีวี และแผนการเตรียมรับมือเหตุฉุกเฉินนับตั้งแต่เกิดเหตุสังหารหมู่ 12 คน โดยเด็กนักเรียน 2 คน ขึ้นที่โรงเรียนมัธยมโคลัมไบน์ เมื่อปี 1999 ซึ่งนับเป็นเหตุกราดยิงในโรงเรียนที่ชาวอเมริกันยังคงจดจำกันได้มากที่สุด
ทุกวันนี้โรงเรียนทั่วสหรัฐได้ทุ่มงบประมาณหลายล้านเหรียญสหรัฐในการซื้อเครื่องตรวจจับโลหะ กล้องซีซีทีวี และแผนการเตรียมรับมือเหตุฉุกเฉินนับตั้งแต่เกิดเหตุสังหารหมู่ 12 คน โดยเด็กนักเรียน 2 คน ขึ้นที่โรงเรียนมัธยมโคลัมไบน์ เมื่อปี 1999 ซึ่งนับเป็นเหตุกราดยิงในโรงเรียนที่ชาวอเมริกันยังคงจดจำกันได้มากที่สุด
เหตุกราดยิงที่โคลัมไบน์ ซึ่งได้รับการตอกย้ำไปทั่วประเทศเมื่อผู้กำกับไมเคิล มัวร์ นำมาสร้างเป็นหนังสะกิดสังคมเรื่อง “Bowling for Columbine” ที่สัมภาษณ์ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะตั้งประเด็นเรื่องอาวุธปืน ได้ทำให้สังคมอเมริกันเริ่มฉุกคิดและนำไปสู่การยกระดับการรักษาความปลอดภัยตามโรงเรียนมากขึ้น
ทว่า มาตรการต่างๆ กลับไม่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดเหตุสะเทือนขวัญซ้ำสองได้ จนกระทั่งเกิดเหตุกราดยิงขึ้นในโรงเรียนแซนดี ฮุค
“โรงเรียนไม่มีทางหยุดยั้งเหตุการณ์เช่นนี้ได้เลย หากไม่รู้ล่วงหน้าว่าผู้ก่อเหตุกำลังจะมาทำอะไร” บิล บอนด์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยในโรงเรียน และอดีตครูใหญ่โรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่ง กล่าวกับรอยเตอร์สถึงเหตุสะเทือนขวัญครั้งล่าสุด
เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เหมือนกับกรณีของโคลัมไบน์ที่มือปืนเป็นเด็กในโรงเรียน แต่มือปืนกลับเป็นผู้ใหญ่ภายในชุมชน ทำให้กลายเป็นที่คล้ายคลึงกับการกราดยิงภายในโรงภาพยนตร์ที่เมืองออโรรา รัฐโคโลราโด ซึ่งมีผู้เสียชีวิตไป 12 คน บาดเจ็บอีก 58 คน เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา
ความเป็นคนภายในชุมชนที่รู้จักกันดี อาจเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ความระแวดระวังลดลงไป โดยส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคนส่วนใหญ่ต่างเชื่อว่า เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียนนั้นจะมาจากฝีมือของนักเรียนเอง
ปัจจุบันยังไม่ชัดเจนว่าโรงเรียนแซนดี ฮุค ใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยแบบใด ทว่าสื่อหลายแห่งต่างรายงานว่าโรงเรียนแห่งนี้มีมาตรการที่ไม่ได้หย่อนยานนัก เพราะมีการจำกัดการเข้าออกของคนนอก และประตูก็ปิดล็อกทันทีหลังเวลา 09.30 น. ซึ่งมีรายงานว่าการกราดยิงเกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่นั้นบอนด์ให้ความเห็นว่า ไม่มีทางเลยที่ครูและนักเรียนจะป้องกันตัวเองได้เมื่อมีมือปืนบุกเข้ามากราดยิงเช่นนี้ และแม้ว่าจะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหรือประตูที่ล็อกแล้วก็อาจไม่สามารถหยุดยั้งมือปืนได้เช่นกัน
ด้านเคนเนธ ทรัมป์ ประธานสำนักงานบริการด้านความมั่นคงและปลอดภัยในโรงเรียนสหรัฐ ย้ำว่า โรงเรียนต่างๆ จำเป็นต้องมีมาตรการเฝ้าระวังมือปืนประเภทหมาป่าเดียวดายเช่นนี้ให้มากขึ้น
“ในฐานะพ่อ ผมพูดได้เลย 100% ว่าจะไม่ยอมให้มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับลูกของผม แต่ในฐานะของคนที่อยู่ในวงการนี้ ผมรู้ดีว่าคงไม่มีใครให้ความมั่นใจผมได้เต็มร้อยว่าเด็กๆ จะปลอดภัยดี” ทรัมป์ ระบุกับรอยเตอร์ส
ในมุมมองของทรัมป์ โรงเรียนทั่วสหรัฐมีการยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยดีขึ้น นับตั้งแต่เกิดเหตุสังหารหมู่ที่โรงเรียนโคลัมไบน์ หลายครั้งที่แผนก่อเหตุสังหารหมู่ของเด็กในโรงเรียนถูกสกัดไว้ได้ จากการช่วยกันเตือนและแชร์ข้อมูลระหว่างนักเรียน ครู และครูใหญ่ สิ่งที่น่ากังวลมากกว่าก็คือ ข้อจำกัดจากการตัดลดงบประมาณทั่วประเทศ เพราะในขณะที่มีความเสี่ยงว่าจะเกิดความรุนแรงเพิ่มขึ้น จากความเครียดท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจ ทว่างบประมาณและความใส่ใจเกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัยเหล่านี้กลับต้องถูกตัดลดลง
ปัจจุบัน หากไม่นับรวมอาวุธยุทโธ ปกรณ์ในกองทัพแล้ว สหรัฐอาจได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่อันตรายมากที่สุดในโลก ฐานที่มีพลเมืองครอบครองปืนมากถึง 270 ล้านกระบอก ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วที่สุดแห่งหนึ่งในโลกแห่งนี้ เชื่อว่าประชาชนมีสิทธิครอบครองอาวุธปืนเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของตนเอง
ความเชื่อที่ฝังอยู่ในคนอเมริกันมานับรุ่นต่อรุ่นนี่เองที่ทำให้รัฐบาลกลางสหรัฐไม่สามารถแตะกฎหมายการครอบครองอาวุธปืนได้ แม้จะมีเหตุสะเทือนขวัญเกิดขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วนในโรงเรียน รวมถึงเหตุที่เกิดขึ้นกับ สส.รัฐแอริโซนาแกเบรียล กิฟฟอร์ด เมื่อปีที่แล้วด้วยก็ตาม
กลุ่มต่อต้านอาวุธปืนในสหรัฐระบุว่าในแต่ละปี การใช้อาวุธปืนยิงกันมากกว่า 1 แสนครั้ง และในปี 2553 มีผู้เสียชีวิตถึงกว่า 3 หมื่นคน จากอาวุธปืน ทั้งจากการใช้ความรุนแรงในครอบครัว การฆ่าตัวตาย และอุบัติเหตุ
หากอาวุธปืนเป็นสิ่งที่ใช้เพื่อปกป้องชีวิต ทรัพย์สิน และทำให้ประชาชนรู้สึกปลอดภัยอย่างไม่สามารถเปลี่ยนความคิดนี้ได้ เหตุสะเทือนขวัญที่โรงเรียนแซนดี ฮุค ก็อาจไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าครั้งสุดท้าย เหมือนกับที่ยังคงเกิดการกราดยิงตามมาอีกนับสิบครั้งหลังจากเรื่องน่าเศร้าที่โรงเรียนโคลัมไบน์


