แม่บ้านยุคไฮเทค
ถ้าเกิดผู้หญิงที่แต่งงานแล้วทุกคนมีอิสระในการเลือกรูปแบบชีวิตของตัวเองได้ คุณจะเลือกใช้ชีวิตแบบไหนกันนะ อยากเป็น “Super Woman”
ถ้าเกิดผู้หญิงที่แต่งงานแล้วทุกคนมีอิสระในการเลือกรูปแบบชีวิตของตัวเองได้ คุณจะเลือกใช้ชีวิตแบบไหนกันนะ อยากเป็น “Super Woman”
ที่สามารถทำหน้าที่แม่และทำงานมีรายได้ที่มั่นคงในเวลาเดียวกัน หรืออยากเป็น “คู่รักตลอดกาล” ที่ไม่ต้องมีลูกมาคอยกวนตัวกวนใจ หรือตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตด้วยการยุติบทบาทผู้หญิงทำงาน และยอมสูญเสียโอกาสทางการเงินเพื่อทำหน้าที่ “แม่บ้าน” อย่างเต็มตัว
ลองทายกันดูว่าแม่บ้านยุคไฮเทคตามเมืองใหญ่ๆ ของจีนมีแนวโน้มว่าจะเลือกดำเนินชีวิตในรูปแบบไหนมากกว่ากัน
หลายคนอาจมองว่าการเลือกที่จะเลี้ยงลูกอยู่กับบ้านไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ เพราะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับสังคมไทยที่มีการปลูกฝังความเป็นกุลสตรี และมักพร่ำสอนเสมอว่า “ผู้หญิงที่ดีนั้นต้องปฏิบัติตัวให้เป็นแม่ศรีเรือน ดูแลสามีและลูกอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง” เราจึงพบเห็นแม่บ้านที่ไม่ได้ออกไปทำงานกันอย่างชินตา แต่ถ้าเป็นในเมืองจีนละก็ เรื่องที่ว่าไม่น่าสนใจนี้กลับเป็นประเด็นที่มีการพูดคุยกันหนาหู และบรรดาศรีภรรยาที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยต่างออกมาแสดงจุดยืนของตนผ่านสื่อแขนงต่างๆ แต่ก็ไม่มีบทสรุปสำหรับความคิดเห็นเหล่านี้ เพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะเลือกใช้ชีวิตตามแบบที่เหมาะสมกับสภาพครอบครัวของตน
ก่อนอื่นเราคงต้องทำความเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมจีนนับแต่เปิดประเทศมาราว 60 กว่าปีกันก่อน ช่วงแรกของการเปิดประเทศนั้น เศรษฐกิจยังไม่ได้มีเสถียรภาพดังเช่นที่เป็นอยู่ สามีภรรยาที่แต่งงานแล้วล้วนมีฐานะทางการเงินไม่ค่อยดีนัก ผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องทำงานไปเลี้ยงลูกไป เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในบ้าน แต่หลังจากที่มีการปฏิรูปทางเศรษฐกิจและสังคมตามเขตเศรษฐกิจพิเศษของประเทศราว 30 กว่าปีก่อน เศรษฐกิจของประเทศก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้ได้รับอานิสงส์ความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้มีฐานะทางการเงินที่มั่นคง รูปแบบการใช้ชีวิตของศรีภรรยาก็ค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง
แม่บ้านยุคไฮเทคที่เลี้ยงดูลูกอยู่กับบ้านเหล่านี้ ปรากฏขึ้นราว 20 กว่าปีก่อน คนกลุ่มนี้มักอาศัยอยู่ในพื้นที่แถบชายฝั่งตะวันออกของประเทศ หรือก็คือเขตนำร่องเศรษฐกิจของประเทศนั่นเอง เนื่องจากหัวหน้าครอบครัวมีผลประกอบการดี หรือมีหน้าที่การงานที่มั่นคง สามารถนำรายได้มาจุนเจือ ครอบครัวอย่างไม่ขัดสน ศรีภรรยาเหล่านี้จึงสวมบทบาทเป็นภรรยาและแม่ของลูกได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องพะว้าพะวังถึงค่าใช้จ่ายจิปาถะในบ้านแต่อย่างใด
ผลการสำรวจล่าสุดของตัวเลขแม่บ้านนานารูปแบบของจีน พบว่าแม่บ้านเต็มตัวตามเมืองใหญ่ๆ ของจีนเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ลักษณะเด่นของ “แม่บ้านยุคไฮเทค” ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาก็คือ มีการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป อายุไม่มาก และเลือกที่จะเดินออกจากสภาพแวดล้อมการทำงานที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและแรงกดดันนานัปการ จนทำให้ไม่ค่อยมีเวลาในการเลี้ยงดูลูกอย่างใกล้ชิด ปัจจัยร่วมของแม่บ้านกลุ่มนี้ คือ การมีแหล่งรายได้ที่มั่นคง นั่นหมายถึงรายได้ของสามีในแต่ละเดือนที่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายนั่นเอง ผู้หญิงกลุ่มนี้โดยมากมักได้รับการขนานนามว่าเป็น “คุณนายทรงภูมิ” เพราะมีการศึกษาสูงและมีศักยภาพในการทำงาน ทว่าพวกเธอพร้อมที่จะลาออกจากงานมาเลี้ยงลูกอยู่กับบ้าน ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดด้านครอบครัวของชาวจีนยุคใหม่ที่ต้องการเลี้ยงดูฟูมฟักลูกให้เป็นคนมีความพร้อมในทุกๆ ด้าน
ที่น่าสนใจ คือ อายุของแม่บ้านกลุ่มนี้มีแนวโน้มว่าจะน้อยลงเรื่อยๆ ดังเห็นได้จากผลการสำรวจล่าสุดชี้ให้เห็นว่า แม่บ้านวัย 20-25 ปี มีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 66.6 แม่บ้านวัย 25-30 ปี มีสัดส่วนร้อยละ 38.24 ขณะที่แม่บ้านวัย 30-35 ปี มีสัดส่วนร้อยละ 28.10 และแม่บ้านวัย 35-40 ปี มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 25.42 ตัวเลขที่หยิบยกมานี้บอกให้เรารู้ว่า การคลุกคลีอยู่ในวงจรทำงานหลายปี ย่อมส่งผลต่อการตัดสินใจว่าจะเป็นแม่บ้านเต็มตัวหรือไม่ เพราะยิ่งมีอายุงานมาก ก็ยากที่จะหยุดทำงานมาเลี้ยงดูลูกอยู่กับบ้านเฉยๆ ด้วยเหตุนี้แม่บ้านเต็มตัวตามเมืองใหญ่ๆ อย่างปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางเจา จึงมีสัดส่วนของหญิงสาวที่อายุไม่มาก และไม่มีประสบการณ์การทำงานเท่าใดนัก
การเพิ่มจำนวนของแม่บ้านยุคใหม่ที่ยอมลาออกจากงานมาสวมบทบาทภรรยาและคุณแม่อย่างเต็มตัว ยังแสดงให้เห็นว่ารูปแบบของชีวิตครอบครัวจีนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกันแล้วแม่บ้านที่มีอายุราว 40 ปีขึ้นไป โดยมากมักทำงานไปเลี้ยงลูกไป เนื่องจากครอบครัวมีรายได้ค่อนข้างต่ำ แต่มาในยุคนี้ความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของจีน ส่งผลต่อฐานะทางการเงินของชาวจีนจำนวนมาก โดยเฉพาะตามเมืองใหญ่ๆ ผู้คนมีรายได้หลายหมื่นหยวนต่อเดือน แม่บ้านที่ปรารถนาจะลาออกจากงานมาดูแลลูกที่บ้านจึงค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้น ที่สำคัญคือได้รับแรงสนับสนุนจากสามีที่เห็นด้วยกับบทบาทดังกล่าวของภรรยา กว่าร้อยละ 80 เต็มใจให้ศรีภรรยาเป็นแม่บ้านเต็มตัว ขณะที่ตนเองก็ทำหน้าที่เป็นเสาหลักของบ้าน
แต่ก็มีแม่บ้านบางส่วนที่สามีไม่ได้ร่ำรวย และไม่อยากลาออกจากงานมาสวมบทบาท “แม่บ้านเต็มตัว” กับเขาเหมือนกัน คนกลุ่มนี้มักเป็นผู้ที่มีรายได้ไม่มาก ทว่าไม่สามารถจ้างแม่บ้านอาชีพมาเลี้ยงดูลูก เพราะถือเป็นค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงทีเดียว จึงยอมลาออกจากงานมาดูแลลูกเอง หรือไม่ก็เป็นกลุ่มคนที่พอมีรายได้ แต่ไม่วางใจแม่บ้านอาชีพ กลัวว่าจะดูแลลูกได้ไม่ดี จึงยอมออกจากงานมาเลี้ยงลูกอยู่บ้านก็มี
อย่างไรก็ดี ยังมีแม่บ้านยุคไฮเทคอีกกลุ่มที่มีฐานะทางการเงินไม่มั่นคง ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน และไม่ต้องการปิดกั้นตัวเองจากสังคม คนกลุ่มนี้ไม่เห็นด้วยกับการลาออกมาเลี้ยงลูกอยู่บ้าน ด้วยเห็นว่าการตัดสินใจเช่นนั้นถือเป็นการปิดหูปิดตาตัวเอง อาจเป็นบ่อเกิดของโรคซึมเศร้า ทำให้ตามกระแสสังคมไม่ทัน เพราะไม่ได้พบปะผู้คนและทราบถึงความเป็นไปของสังคม พวกเธอมองว่าหลังจากที่เลี้ยงลูกจนเข้าสู่วัยเรียนแล้ว กิจกรรมในแต่ละวันค่อยๆ ลดลง เมื่อถึงเวลานั้นหากต้องการกลับเข้าสู่วงจรมนุษย์เงินเดือนอีกครั้ง อาจไม่มีศักยภาพเพียงพอในการทำงานหรือแข่งขันกับเด็กจบใหม่ที่มีไฟแรง โอกาสในการหางานจึงดูริบหรี่ลง
ไม่ว่าคุณเลือกใช้ชีวิตแม่บ้านในรูปแบบใด หัวใจสำคัญของการเป็นแม่บ้านที่ดี คือ การให้ความรักและเอาใจใส่ครอบครัวอย่างเต็มที่ ช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีให้แก่ครอบครัว เพราะครอบครัวคือรากฐานที่สำคัญของสังคมที่สงบสุข


