เปิดปูม 2 หนุ่มแห่ง ‘ซูจี’รักที่เสียสละเพื่อ ‘แม่’
เรียกได้ว่า นับตั้งอองซานซูจีเริ่มภารกิจเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกในรอบ 24 ปี ข่าวคราวความเคลื่อนไหวของสตรีเหล็กผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่า
โดย...ณัฐสุดา จิตตปาลพงศ์
เรียกได้ว่า นับตั้งอองซานซูจีเริ่มภารกิจเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกในรอบ 24 ปี ข่าวคราวความเคลื่อนไหวของสตรีเหล็กผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่า ก็สามารถแย่งชิงพื้นที่สื่อทุกแขนงพร้อมบดบังรัศมีข่าวอื่นๆ ได้อย่างสิ้นเชิง
เพราะภารกิจการเดินทางครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางเยือนยุโรปถือเป็นวันที่ซูจีเฝ้ารอคอยมานานแสนนาน ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นรับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพที่ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งเป็นรางวัลที่เจ้าตัวได้รับเมื่อ 21 ปีก่อนทว่าไม่มีโอกาสมารับรางวัลด้วยตัวเอง เนื่องจากขณะนั้นถูกคุมขังในบ้านพัก
หรือจะเป็นการย้อนวันวานในวัยเรียนด้วยการกลับไปเยือนมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นสถานศึกษาที่ซูจีเคยเล่าเรียนด้านปรัชญาการเมืองและเศรษฐศาสตร์ ในช่วงกลางทศวรรษ 60 ทว่ายังเป็นสถานที่ที่เจ้าตัวพบรักกับ ไมเคิล อริส สามีผู้ล่วงลับอีกด้วย
แต่เชื่อว่า สิ่งที่ซูจีตั้งหน้าตั้งรอคอยมากที่สุดในทริปยุโรปครั้งนี้ก็คงหนีไม่พ้นการพบหน้า “หลาน” สองคนเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นลูกของ คิม อริส ลูกชายคนเล็กของซูจีนั่นเอง
ทั้งนี้ หลายคนอาจพอทราบว่า ซูจีนั้นมีลูกชายสองคน คือ อเล็กซานเดอร์ และคิม หรือที่ชาวพม่าเรียกว่า เมียนซันอาว และ เถ่งลิน
เพราะในช่วงแรก ที่ซูจีถูกกักบริเวณนั้นสามีและลูกๆ ซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียงแค่ 11 และ 16 ปี ตามลำดับ ได้ออกมาเรียกร้องอิสรภาพให้กับภรรยาและผู้เป็นแม่ และเมื่อปี 2534 อเล็กซานเดอร์ในวัย 18 ปี ยังได้ขึ้นรับรางวัลโนเบลแทนมารดาอีกด้วย โดยความสามารถในการขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ได้อย่างทรงพลังสมกับการเป็นลูกชายของนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริงนั้น ก็ได้รับเสียงชื่นชมอย่างกึกก้องจากผู้คนทั่วโลก
ทว่าสองทศวรรษผ่านไป ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทั้งสองของซูจีก็ได้ห่างหายจากแสงสปอตไลต์โดยสิ้นเชิง โดยนานๆ ทีนั้นจะมีภาพและข่าวคราวความเคลื่อนไหวปรากฏออกมาบ้าง
ดังนั้น การปรากฎตัวของคิม อริส ในงานรับรางวัลโนเบลของซูจีในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงทำเอาผู้คนทั่วโลกอึ้งทึ่งกันเป็นแถว
เพราะหลายต่อหลายคนนั้นแทบไม่อยากเชื่อสายตาว่า ชายเอเชียผมยาวที่กำลังนั่งฟังซูจีกล่าวสุนทรพจน์ระหว่างขึ้นรับรางวัลโนเบลนั้นคือ คิม อริส
เพราะภาพที่เห็นนั้นช่างแตกต่างกับภาพ คิม อริส ที่โลกคุ้นเคย โดยจากที่เคยเป็นหนุ่มทรงผมสกินเฮด สวมเสื้อแขนกุดโชว์รอยสัก มาครั้งนี้ คิมมาในลุคผมยาวสวมแจ็กเก็ตสีดำสไตล์จีนมาดเคร่งขรึม และที่สำคัญก็คือมีหน้าตาละม้ายไปทางแม่มากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
เรียกได้ว่า ในสายตาของผู้คนรอบข้างนั้น คิม คือ ชายหนุ่มที่เติบโตมาได้อย่างงดงาม และเป็นความภาคภูมิใจของผู้เป็นแม่อย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า กว่าจะมีวันนี้ได้เส้นทางของสองพี่น้องอริส โดยเฉพาะอย่างยิ่งคิม ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่หลายคนคาดคิด แต่กลับเต็มไปด้วยขวากหนามมากมาย ซึ่งในบางทีนั้นก็ยากแค้นแสนสาหัสเกินกว่าที่หนุ่มตัวน้อยๆ ของซูจีจะแบกรับได้
เพราะต้องไม่ลืมว่า ทั้งอเล็กซ์ และคิม ต้องเติบโตมาโดยไร้ผู้เป็นแม่ข้างกาย โดยแม้ในระยะแรกนั้นทั้งสองยังคงมีพ่อคอยเลี้ยงดู ทว่าชีวิตวัยเด็กที่ปราศจากผู้เป็นแม่ก็ได้สร้างความบอบช้ำให้กับเด็กหนุ่มทั้งสองอย่างหนักเลยทีเดียว
“ลูกชายทั้งสองได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการตัดสินใจของฉันที่จะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่า เพราะตอนนั้นพวกเขายังเด็ก แม้ฉันจะรู้สึกไม่ดีที่ได้ทอดทิ้งพวกเขาไป แต่ฉันก็ต้องเลือกสิ่งที่สำคัญที่สุด” ซูจี กล่าว ระหว่างให้สัมภาษณ์ โดยย้ำว่า หลังจากสามีเสียชีวิตเมื่อปี 2542 ทุกอย่างก็แย่ลง เพราะไมเคิลนั้นทำหน้าที่พ่อได้ดีมาก
ขณะที่ปีเตอร์ แคร์รี ซึ่งเป็นเพื่อนของไมเคิล เล่าว่า อเล็กซ์ และคิมได้รับผลกระทบด้านจิตใจอย่างหนักจากการที่เติบโตมาโดยไม่มีแม่
“มันเป็นประสบการณ์ที่ทรมานมาก เพราะหากแม่คุณตายอย่างน้อยคุณก็ทำใจรับมันได้ แต่นี่แม่ของพวกเขายังมีชีวิตอยู่ แต่พวกเขาไม่สามารถติดต่อเธอได้เลย” แคร์รี กล่าว
ด้านอเล็กซ์นั้นได้รับผลกระทบน้อยกว่าผู้เป็นน้อง เพราะขณะที่ซูจีถูกกักบริเวณอยู่ที่พม่า เจ้าตัวมีวุฒิภาวะมากพอที่จะรับรู้ความจริงที่เกิดขึ้นรอบตัว
และที่สำคัญก็คือ ชีวิตวัยเด็กของอเล็กซ์นั้นเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่ โดยคนใกล้ชิดของครอบครัวซูจีเล่าว่า ซูจีคือ “ซุปเปอร์มัม” ตัวจริง เพราะไม่เพียงแต่เจ้าตัวจะมีฝีมือปลายจวักยอดเยี่ยมจนสามีและลูกๆ นั้นหลงอาหารรสมือแม่สุดๆ แต่ซูจียังชอบจัดปาร์ตี้ให้ลูกๆ ได้มีโอกาสสังสรรค์กับเพื่อนๆ อีกด้วย
ปัจจุบัน อเล็กซ์ ซึ่งเรียนจบด้านปรัชญา อาศัยอยู่ในชุมชมชาวพุทธที่รัฐโอเรกอนของสหรัฐ โดยเจ้าตัวใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย มุ่งปฏิบัติธรรมและสมาธิในแต่ละวัน
“การฝึกสมาธิช่วยให้ผมรู้สึกโล่งใจและมั่นใจมากขึ้นเวลาต้องเผชิญปัญหา” อเล็กซ์ กล่าว โดยหลายคนเชื่อว่า ประสบการณ์ในอดีตโดยเฉพาะอย่างยิ่งชะตากรรมของมารดา คือ แรงผลักดันสำคัญที่ทำให้อเล็กซ์ต้องการหลบหนีความวุ่นวายของสังคมด้วยการหันพึ่งธรรมชาติและศาสนา
นอกจากนี้ เจ้าตัวยังเป็น “วีแกน” หรือกินผักเพียงอย่างเดียว
ที่บ้านไม่มีแม้แต่ตู้เย็น โดยอเล็กซ์นั้นปรุงอาหารด้วยเตาถ่านซักผ้าด้วยมือและใช้จักรยานเป็นยานพาหนะหลัก
หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ เป็นการใช้ชีวิตแบบ “แบ็ค ทู เบสิค” นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ซูจีได้รับการปล่อยตัวเมื่อปี 2553 อเล็กซ์ยังไม่มีโอกาสได้เจอหน้าแม่เลย
ด้านเพื่อนสนิทของอเล็กซ์ ซึ่งได้มีโอกาสเยี่ยมซูจีที่พม่าเมื่อหลายปีก่อน เผยว่า ซูจีดีใจและตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้รับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับอเล็กซ์ ไม่ว่าจะเป็นข่าวคราวความเคลื่อนไหวสำคัญๆ หรือแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของอเล็กซ์
“ผมเชื่อว่าอเล็กซ์ภูมิใจในตัวแม่มาก แต่เขาต้องการใช้ชีวิตที่สงบเรียบง่ายไม่ตกเป็นเป้าสายตาของสังคม ดังนั้นเขาจึงแทบจะไม่เคยพูดถึงแม่ในที่สาธารณะเลย” เพื่อนของอเล็กซ์ กล่าว
ขณะที่ผู้เป็นพี่สามารถรับมือและฝ่าฟันอุปสรรคได้เป็นอย่างดี ทว่าเรื่องราวชีวิตของน้องชายกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
การถูกพรัดพรากจากแม่ตั้งแต่อายุยังน้อยได้ส่งผลให้คิมต้องหันพึ่งแอลกอฮอล์ในช่วงชีวิตวัยรุ่นเพื่อเติมเต็มส่วนที่เจ้าตัวรู้สึกว่าขาดหายไปจากชีวิต
“ในฐานะเพื่อนสนิท ผมรู้สึกเจ็บปวดมากที่ต้องเห็นคิมทุกข์ทรมานเพราะต้องอยู่ห่างไกลแม่ ผมจำได้ว่าเขาจะโทรศัพท์หาแม่ทุกคืนหลังเลิกเรียน ซึ่งก็โทรติดบ้างไม่ได้บ้าง น่าสงสารมากเพราะเขาเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงมาอยู่กับเขาไม่ได้ และทำไมเขาถึงไปอยู่กับแม่ไม่ได้” แม็กซ์ ฮอร์สเลย์ เพื่อนสนิทและอดีตเพื่อนร่วมชั้นของคิม เล่า โดยยังเผยอีกว่า คิมเคยอ้อนวอนให้แม่กลับบ้านเพราะคิดถึงแม่มาก ซึ่งถือเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่คิมร้องขอให้แม่กลับไปหาเขา
ทั้งนี้ คิมซึ่งปัจจุบันได้แยกทางกับภรรยาแล้ว มีลูกสองคน คือ เจมส์ และจัสมิน โดยเจ้าตัวนั้นมีอาชีพเป็นช่างไม้ ไม่มีบ้านเป็นของตัวเองแต่อาศัยอยู่บนเรือที่เมืองออกซฟอร์ดในประเทศอังกฤษ
น่าเศร้าที่ว่า เมื่อไม่นานมานี้เองคิมสูญเสียสิทธิการเลี้ยงดูลูกๆ เจ้าตัวจึงไม่ค่อยได้มีโอกาสเจอหน้า เจมส์ และจัสมิน มากนัก ซึ่งปัจจุบันได้ย้ายไปอยู่โปรตุเกสกับผู้เป็นแม่แล้ว
อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยทุกวันนี้เจ้าตัวก็เข้าใจเหตุผลว่าทำไมแม่ถึงต้องเลือกพม่าเหนือครอบครัว
“ผมเข้าใจว่า การต้องเลือกระหว่างครอบครัวกับพม่าเป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับแม่ แต่สุดท้ายผมก็เคารพในการตัดสินใจของแม่ เพราะอิสรภาพสำหรับชาวพม่าคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเธอ แม้การเติบโตมาโดยไม่มีแม่จะเป็นสิ่งที่ยากลำบากสำหรับผมและครอบครัว แต่ผมก็ภูมิใจในทุกสิ่งที่แม่ได้ทำมา” คิม กล่าว
ปัจจุบัน คิมตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่พม่าเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับแม่มากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า สิ่งนี้ก็ได้ทำให้ทั้ง คิม และซูจี มีความสุขอีกครั้ง
เรียกได้ว่าเป็นโอกาสอันดีที่สองแม่ลูกจะได้มีโอกาสใช้ชีวิตและเรียนรู้ซึ่งกันและกันมากขึ้น ชดเชยช่วงเวลากว่า 20 ปี ที่ต้องอยู่ห่างไกลกัน
และเชื่อว่าสิ่งนี้ คือจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่ คิม รวมทั้งอเล็กซ์ ต้องการเพื่อที่จะได้เติมเต็มช่องโหว่ในหัวใจ และขณะเดียวกันจะเป็นพลังงานสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ซูจีเดินหน้าต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่าต่อไป


