จื่อซาหู
ถ้าเอ่ยถึง “ชา” เครื่องดื่มประจำชาติของชาวจีน คงมีน้อยคนนักที่ไม่เคยลิ้มลองรสชาติของชาจีนนานาชนิดที่มีให้เลือกสรรตามรสนิยมส่วนบุคคล แต่คุณสมบัติในการดับกระหายคงไม่ได้เป็นสาระสำคัญของเครื่องดื่มชนิดนี้เท่ากับบทบาทของชาในวัฒนธรรมจีนที่บ่งบอกถึงวิถีชีวิตแบบจีนๆ ได้เป็นอย่างดี การชงชาในภาชนะที่มีคุณภาพถือเป็นเรื่องที่เราไม่ควรมองข้าม ยิ่งถ้าเป็นกาน้ำชาที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้แก่ชาแล้วละก็ ย่อมเป็นที่ชื่นชอบของนักดื่มชาอย่างมากทีเดียว
ถ้าเอ่ยถึง “ชา” เครื่องดื่มประจำชาติของชาวจีน คงมีน้อยคนนักที่ไม่เคยลิ้มลองรสชาติของชาจีนนานาชนิดที่มีให้เลือกสรรตามรสนิยมส่วนบุคคล แต่คุณสมบัติในการดับกระหายคงไม่ได้เป็นสาระสำคัญของเครื่องดื่มชนิดนี้เท่ากับบทบาทของชาในวัฒนธรรมจีนที่บ่งบอกถึงวิถีชีวิตแบบจีนๆ ได้เป็นอย่างดี การชงชาในภาชนะที่มีคุณภาพถือเป็นเรื่องที่เราไม่ควรมองข้าม ยิ่งถ้าเป็นกาน้ำชาที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้แก่ชาแล้วละก็ ย่อมเป็นที่ชื่นชอบของนักดื่มชาอย่างมากทีเดียว
ในบรรดากาน้ำชาที่ทำจากเซรามิก เครื่องเคลือบ แก้ว โลหะที่มีหลากหลายขนาดและรูปลักษณ์ตามท้องตลาด ล้วนเป็นรองกาน้ำชาดินเหนียวจื่อซาในแง่ของภาชนะชงชาที่มีคุณภาพชั้นเลิศ และเป็นที่รู้จักกันดีทั้งในหมู่ชาวจีนและชาวต่างประเทศ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในของเก่าที่มีราคาสูงในตลาดประมูลของเก่า ส่งผลให้กาน้ำชาที่มีอายุเก่าแก่เป็นชนิดที่ล้ำค่าและหายาก ยิ่งถ้าเป็นกาน้ำชาของบรรดานักปั้นมือทองด้วยแล้ว ถือว่าเป็นที่ต้องการของบรรดานักสะสมของเก่ากันเลยทีเดียว
หลังจากยุคปลายราชวงศ์หมิง ชาวจีนนิยมใช้กาน้ำชากันมากขึ้น ภาชนะชงชาและถ้วยน้ำชากลายเป็นของใช้จำเป็นที่มีกันทุกครัวเรือน โดยเฉพาะกาน้ำชาจื่อซาที่มีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมชาของจีนอย่างแนบแน่น สืบเนื่องจากการดื่มชาถือเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตแบบจีน เป็นกิจกรรมที่มีการรวมตัวกันเพื่อสร้างความสามัคคีและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การรินน้ำชาผ่านภาชนะชงชาให้แก่เพื่อนพ้องที่นั่งล้อมวงกันจับเข่าคุย จึงเปรียบเหมือนสะพานแห่งมิตรภาพที่เชื่อมต่อความเข้าใจอันดีระหว่างกันและกัน
เดิมที กาน้ำชาดินเผาจื่อซา ฃจืฯษฐบ๘ฃฉ หรือเรียกกันในภาษาจีนว่า “จื่อซาหู” ถือเป็นศิลปหัตถกรรมที่มีเอกลักษณ์ของจีน ซึ่งมีกรรมวิธีการทำที่พิถีพิถันในทุกขั้นตอน เริ่มด้วยการคัดเลือกดินและการตีดินที่ต้องใช้เวลาราว 35 เดือน จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการปั้นให้เป็นรูปทรงตามต้องการ กรรมวิธีดังกล่าวต้องอาศัยความประณีตและใช้เวลานานมาก สำหรับกาน้ำชาที่มีลวดลายสวยงามและมีรายละเอียดมาก อาจต้องใช้เวลาในการปั้นนานแรมเดือนก็มี หลังจากกระบวนการเหล่านี้เสร็จสิ้นลง ก็เข้าสู่การนำไปผ่านการกรีดผิวภาชนะให้เรียบ ตามด้วยการปัดเงา แล้วจึงนำไปเผาไฟด้วยอุณหภูมิที่พอเหมาะ
แต่ด้วยความที่อุปสงค์ในตลาดมีมาก การผลิตกาน้ำชาจื่อซาด้วยวิธีดังกล่าว อาจไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมในยุคปัจจุบัน จึงมีการใช้เครื่องจักรในการผลิตเข้าแทนที่ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างทันท่วงที เนื่องจากดินที่ใช้ในการผลิตอยู่ในอำเภออี๋ซิง มณฑลเจียงซู จึงมีชื่อเรียกเต็มๆ ว่า กาน้ำชาอี๋ซิงจื่อซา ฃจาหะหืฯษฐบ๘ฃฉ นั่นเอง เล่ากันว่ามีประวัติความเป็นมาราว 2,400 ปีมาแล้ว แต่ในยุคนั้นยังไม่ได้นำมาปั้นเป็นกาน้ำชา กระทั่งรัชศกเจิ้งเต๋อแห่งกษัตริย์ หมิงอู่จง ฃจร๗ฮไืฺฃฉ มีการนำดินจื่อซามาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตกาน้ำชา โดยมี “ก้งชุน” ฃจนฉดบฃฉ เป็นผู้ริเริ่ม ผลงานการปั้นกาน้ำชาด้วยดินจื่อซาของเขาถือว่ามีคุณค่าทางด้านศิลปะ และกลายเป็นของเก่าแก่หายากที่สืบทอดกันมาจวบจนปัจจุบัน
เหตุที่ทำให้กาน้ำชาจื่อซากลายเป็นของล้ำค่าที่ชาวจีนและชาวต่างชาติทุกยุคทุกสมัยปรารถนาที่จะครอบครอง เป็นเพราะมีลักษณะเด่นหลายประการดังนี้
การเป็นภาชนะที่ไม่ทำลายรสชาติดั้งเดิมของใบชา ทั้งยังคงไว้ซึ่งสีและกลิ่นได้เป็นอย่างดี
สามารถถ่ายเทของเหลวภายในได้ดี ส่งผลให้ไม่ขึ้นราหากปล่อยทิ้งไว้ข้ามคืน
หากใช้เป็นประจำ จะช่วยเพิ่มความหอมของชาที่ชง
ด้วยความที่กระจายความร้อนช้า ส่งผลให้สามารถเก็บความร้อนได้เป็นเวลานาน ทั้งยังสามารถพกพาไปตามที่ต่างๆ โดยไม่รู้สึกร้อนมือ
มีความทนความร้อนสูง ในยามที่อากาศหนาวเย็น กาน้ำชาจะไม่เปราะและแตกง่าย
หากใช้เป็นเวลานาน ภาชนะจะมีความมันวาว อันเป็นผลจากน้ำชาที่นำมาต้มจะช่วยในการรักษาสภาพกาน้ำชา
ว่ากันว่าสีของดินเหนียวชนิดนี้จะเปลี่ยนแปลงไปตามใบชาที่นำมาชง เช่น ถ้านำไปชงชาแดง สีของกาน้ำชาก็จะเปลี่ยนจากน้ำตาลอ่อนเป็นสีน้ำตาลเข้ม เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของกาน้ำชาจื่อซา
หากเราไปเดินตามแผงลอยที่วางขายกาน้ำชาดินเผากันจนละลานตาในเมืองจีนโดยขาดความรู้เบื้องต้นในการเลือกซื้อ ย่อมทำให้พลาดโอกาสการครอบครองกาน้ำชาที่มีคุณภาพไปอย่างน่าเสียดาย เคล็ดลับการเลือกแบบง่ายๆ ก็พอจะมีหลักเกณฑ์ให้เรายึดปฏิบัติอยู่บ้าง
อาทิ
เลือกจากรูปลักษณ์ของกา ขนาดของการน้ำชาที่วางขายกันย่อมแตกต่างกันไป ความหลากหลายที่ว่านี้ส่งผลต่อชนิดของชาที่นำมาชง ยกตัวอย่างง่ายๆ หากต้องการชงชาอูหลง ก็มักใช้กาขนาดเล็กกะทัดรัด หรือหากต้องการชงชาผูเอ่อร์ ก็ควรใช้กาน้ำชาที่มีขนาดใหญ่เล็กน้อย ส่วนกาน้ำชาที่เหมาะแก่การชงชาแดงก็มักจะเป็นชนิดที่มีทรงสูง ปากแคบ หรือหากต้องการชงชาเขียว ควรเลือกใช้กาที่มีทรงเตี้ยและแบน ปากกว้าง เป็นต้น
สังเกตจากเสียงว่ามีความกังวานหรือไม่ โดยสามารถใช้ฝาเคาะเบาๆ บริเวณตัวกาน้ำชา หรือนำมาวางไว้ในมือ จากนั้นจึงใช้นิ้วชี้เคาะเบาๆ บริเวณตัวกา เสียงที่ได้จากการเคาะบ่งบอกถึงความลงตัวของกระบวนการเผาไฟ กล่าวคือ หากเสียงที่ได้ยินทื่อๆ และไม่กังวาน แสดงว่าภาชนะชิ้นนั้นผ่านการเผาไฟไม่เต็มที่
รูปลักษณ์ภายนอกก็ช่วยให้เราได้กาน้ำชาจื่อซาชนิดที่มีคุณภาพดีได้เช่นกัน อาศัยการพิจารณาความมันวาวของภาชนะและลายเส้นของเนื้อภาชนะที่ไปในแนวเดียวกัน หากนำมาวางบนอุ้งมือจะให้ความรู้สึกสมดุล ไม่หนักไปข้างหน้าหรือเทไปข้างหลัง ช่องว่างระหว่างฝากาและปากกาไม่ควรมีขนาดใหญ่เกินไป และไม่ควรเปราะบางเกินไป
และด้วยลักษณะเด่นนานัปการดังที่กล่าวมานี้เอง ทำให้ “จื่อซาหู” เป็นภาชนะชงชาที่อยู่คู่สังคมจีนตลอดระยะเวลากว่า 500 ปีที่ผ่านมา!


