1เม.ย.เลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ เดิมพันครั้งใหญ่ของพม่า
นับเป็นก้าวย่างครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของประเทศพม่า และของโลกที่ได้รับการจับตามองและเฝ้าติดตามจากทั่วทุกมุมโลกเป็นอย่างมาก
โดย...พันธสิทธิ เจริญพาณิชย์พันธ์
นับเป็นก้าวย่างครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของประเทศพม่า และของโลกที่ได้รับการจับตามองและเฝ้าติดตามจากทั่วทุกมุมโลกเป็นอย่างมาก กับการเลือกตั้งซ่อมเพื่อเฟ้นหาผู้ที่จะเข้ามานั่งใน 45 เก้าอี้ว่างในรัฐสภาของพม่า
เพราะการเลือกตั้งซ่อมของพม่าในวันที่ 1 เม.ย.นี้ เป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญที่ชาติตะวันตกหยิบยกมาเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงใจของรัฐบาลพลเรือนพม่า ภายใต้การนำของประธานาธิบดีเต็งเส่ง ว่ายึดมั่นแน่วแน่ต่อการปฏิรูปประเทศให้พร้อมด้วยสิทธิและเสรีภาพมากน้อยเพียงไร เพื่อแลกกับการยอมรับจากชาติตะวันตกด้วยการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร
ยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับการหวนคืนสู่เวทีการเมืองเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีของคู่แข่งสำคัญหมายเลข 1 อย่าง อองซานซูจี แกนนำสำคัญของพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ซึ่งได้รับการยอมรับและเสียงชื่นชมสนับสนุนจากชาติตะวันตก ยกเว้นรัฐบาลทหารพม่ามาโดยตลอด ก็ยิ่งเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของรัฐบาลพลเรือนพม่าในครั้งนี้
ทั้งนี้ ย้อนไปในปี 2534 พรรครัฐบาลทหารพม่าเคยต้องปราชัยในการเลือกตั้งให้แก่ พรรคเอ็นแอลดี ของอองซานซูจีอย่างราบคาบมาแล้ว ซึ่งในครั้งนั้นรัฐบาลเผด็จการทหารได้เลือกปฏิเสธที่จะยอมรับผลเลือกตั้งเสียดื้อๆ ตลอดจนจัดการจับกุมและกวาดล้างแกนนำคนสำคัญของพรรคเอ็นแอลดีอย่างรุนแรง จนนำไปสู่การคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกในที่สุด และทำให้ นับตั้งแต่นั้น อองซานซูจีได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของพม่า
ร่องรอยของความชอกช้ำในประวัติศาสตร์การเมืองของพม่าในครั้งนั้น ส่งผลให้การเลือกตั้งในครั้งนี้เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยกันว่ารัฐบาลพม่า ซึ่งส่วนใหญ่คืออดีตนายทหารที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตของซูจีจะยอมปล่อยให้พรรคเอ็นแอลดีและอองซานซูจี เดินหน้าคว้าชัยจากการเลือกตั้งซ่อมหนนี้ได้อย่างสะดวกโยธินหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เหล่านักวิเคราะห์มองว่า การปล่อยให้ซูจีและสมาชิกพรรคเอ็นแอลดี สามารถกวาดชัยชนะจากการเลือกตั้งจะเป็นผลดีต่อรัฐบาลมากกว่าการขัดขวาง
“การก้าวสู่รัฐสภาของซูจีและสมาชิกพรรคเอ็นแอลดีจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดูดีแก่รัฐสภาพม่าให้มีความชอบธรรมมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำลังต้องการอยู่ในเวลานี้ เพราะรัฐบาลมีความแข็งแกร่งในแทบจะทุกด้าน ยกเว้นในด้านความชอบธรรมที่ยังอ่อนด้อยอยู่” โถวสอลัด หัวหน้าสำนักกระจายเสียงเพื่อประชาธิปไตยพม่า ในสหรัฐ กล่าว
โถวสอลัด ย้ำอีกด้วยว่า ความชอบธรรมที่มีมากขึ้นนี้จะช่วยกระตุ้นให้ชาติตะวันตกผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรต่อพม่าได้เร็วมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของพม่าในปัจจุบันที่กำลังมุ่งสู่การปฏิรูปและอ้าแขนรับการลงทุนจากต่างชาติอย่างค่อนข้างเสรี
นอกจากนี้ แม้ซูจีและสมาชิกพรรคเอ็นแอลดีจะสามารถกวาดที่นั่งในการเลือกตั้งซ่อมจำนวน 45 ที่นั่งได้ทั้งหมด แต่อำนาจของรัฐบาลพม่าก็ไม่ได้สะเทือนสั่นคลอนแต่อย่างใด
เพราะรัฐธรรมนูญของพม่าได้ให้อำนาจแก่การเป็นผู้แทนในรัฐสภาไว้ไม่มากนัก ขณะที่จำนวนที่เลือกตั้งซ่อมในครั้งนี้ยังถือเป็นสัดส่วนที่น้อยเกินกว่าจะมาท้าทายอำนาจของฝ่ายรัฐบาลได้
ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ก็จำเป็นต้องใช้คะแนนเสียงในสภาให้เห็นชอบอย่างน้อย 75% จากสมาชิกทั้งหมดในสภา ซึ่งมีอยู่ 1,158 คน ซึ่งเอ็นแอลดีที่มีผู้แทนอยู่ 45 คน ก็เท่ากับมีคะแนนเสียงไม่ถึง 7%
นอกจากนี้ ผู้แทนในรัฐสภาก็ไม่มีอำนาจที่จะไปยกเลิกหรือเพิกถอนร่างกฎหมายงบประมาณแผ่นดิน แถมรัฐธรรมนูญยังให้อำนาจกับฝ่ายบริหารไว้เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งถอดถอนบุคคลในรัฐบาล โดยไม่จำเป็นต้องขอความเห็นจากสภา
ขณะที่เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ บรรดาชาติตะวันตก เช่น สหรัฐ สหภาพยุโรป (อียู) แคนาดา และออสเตรเลีย ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า หากการเลือกตั้งซ่อมในวันนี้ดำเนินไปด้วยดี ยุติธรรมและโปร่งใส ซึ่งย่อมหมายถึงการที่ ซูจีและพรรคเอ็นแอลดีได้รับชัยชนะเป็นที่น่าพอใจ ก็อาจจะพิจารณายกเลิกมาตรการคว่ำบาตรลงอีกหลายมาตรการ
“หากการเลือกตั้งออกมาเป็นที่น่าพอใจสหรัฐก็อาจจะยกเลิกมาตรการจำกัดการให้วีซ่าและการอายัดทรัพย์สินแก่รัฐบาลพม่า ขณะที่ยุโรปก็อาจจะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรการงดนำเข้าไม้ แร่เหล็ก และอัญมณี จากพม่าลงในทันที” เจนิเฟอร์ ควิเล ผู้อำนวยการสมาคมกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยพม่า ในสหรัฐ กล่าว
นอกจากมาตรการดังกล่าวข้างต้นแล้ว รายงานจากสื่อหลายสำนักระบุว่าอียูอาจจะยกเลิกอีกหลายมาตรการเพื่อตอบแทนพม่า เช่น กฎหมายห้ามการส่งมอบความช่วยเหลือด้านการเงินและสถาบันการเงิน กฎหมายห้ามร่วมทุนกับบริษัทพม่า กฎหมายห้ามให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรแก่พม่า ขณะที่สหรัฐก็มีแววว่าอาจจะเดินตามแผนที่ประกาศเมื่อเดือน ม.ค.ไว้ คือการประกาศยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตขึ้นสู่ระดับการแลกเปลี่ยนเอกอัครราชทูตระหว่างกันกับพม่า โดยมีญี่ปุ่นและแคนาดาที่มีแนวโน้มพิจารณายกเลิกมาตรการคว่ำบาตรพม่าเพิ่มเติม
บอบ คาร์ รัฐมนตรีต่างประเทศออสเตรเลีย ได้กล่าวในระหว่างการเดินทางเยือนกัมพูชาเมื่อวันที่ 26 มี.ค.ว่า ออสเตรเลียอาจพิจารณายกเลิกมาตรการงดการส่งออกนำเข้าสินค้าจากพม่า หากการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นไปอย่างโปร่งใส และน่าเชื่อถือเพียงพอ แต่การยกเลิกมาตรการดังกล่าวจะยังไม่สามารถทำได้ทันที เพราะต้องนำไปปรึกษากับพรรคฝ่ายค้านในประเทศก่อน
ทั้งนี้ เมื่อรวมเหตุปัจจัยมาพินิจพิเคราะห์ดูให้ดีแล้วก็จะพบว่า ผลที่จะได้รับจากการปล่อยให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างยุติธรรมในสายตาชาติตะวันตก หรือก็คือการปล่อยให้ซูจีกับพรรคเอ็นแอลดีชนะ จะสร้างประโยชน์อย่างมหาศาลแก่รัฐบาลพม่าอย่างมาก ทั้งในแง่ของภาพลักษณ์ และผลประโยชน์ที่จะตามมาจากการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรของบรรดาชาติตะวันตก
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่นานาชาติจะได้เห็น ประธานาธิบดีเต็งเส่ง กล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจว่าการเลือกตั้งซ่อมที่จะเกิดขั้นในพม่าวันนี้จะดำเนินไปด้วยดี โปร่งใส และเป็นธรรม
ขณะเดียวกันประธานาธิบดีเต็งเส่งก็ตอกย้ำความเชื่อมั่นนั้นด้วยการส่งเทียบเชิญคณะผู้สังเกตการณ์ต่างชาติ เช่น สหรัฐ อียู ญี่ปุ่น และอาเซียน เป็นครั้งแรก ทั้งๆ ที่การเลือกตั้งครั้งก่อน กรณีดังกล่าวกลับได้รับการกีดกัน
“เหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้พม่าต้องจัดการเลือกตั้งซ่อมให้ออกมาดูดี มีบรรยากาศอบอวลด้วยความยุติธรรม และเป็นประชาธิปไตยให้มากที่สุด เกิดจากเหตุผลเบื้องหลังเพื่อให้ชาติตะวันตกยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรกับตนเร็วๆ” เหมือง ซาหนิ ผู้เชี่ยวชาญด้านพม่าศึกษา แห่งมหาวิทยาลัยแอลเอสอี ในอังกฤษ กล่าว
ทั้งนี้ทั้งนั้น ใช่เพียงพม่าเท่านั้นที่จะได้รับประโยชน์จากการผ่อนปรนหรือยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกเท่านั้น เนื่องจากบรรดาชาติตะวันตกเองก็แอบคำนวณถึงผลประโยชน์จากการกระทำดังกล่าวด้วยเช่นกัน
“ชาติมหาอำนาจตะวันตกเองก็แอบหวังที่จะอาศัยผลประโยชน์จากการผ่อนปรนและยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรเพื่อเปิดทางให้บริษัทเอกชนของตนสามารถตักตวงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในพม่าได้ ซึ่งขณะนี้พม่าเป็นเพียงไม่กี่ชาติบนโลกที่ยังมีทรัพยากรมีค่าอย่างอุดมสมบูรณ์ ไล่เรียงตั้งแต่ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ อัญมณี ทับทิม และไม้สัก” มาร์ติน เพตตี้ นักวิเคราะห์จากสำนักข่าวรอยเตอร์ส กล่าว
หลักฐานบ่งชี้ชัดเจนที่สุดก็คือ การจัดการประชุมเรื่องทิศทางการลงทุนด้านพลังงานและก๊าซธรรมชาติในพม่า โดยกระทรวงพลังงานและกรมสื่อสารและประสานงานกลางของพม่าเมื่อวันที่ 28 มี.ค. ซึ่งมีบริษัทจากชาติต่างๆ ให้ความสนใจเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น อินเดีย จีน สหรัฐ และอียู โดยเฉพาะ 2 ประเทศหลังนั้นตามกฎหมายแล้วไม่สามารถเข้าไปลงทุนในพม่าได้ เพราะติดคำสั่งการคว่ำบาตรอยู่
แค่การปรากฏตัวของบริษัทจาก 2 ชาตินี้ก็เพียงพอที่จะสื่อให้เห็นแล้วว่า บริษัทดังกล่าวค่อนข้างมั่นใจอย่างสูงว่า การยกเลิกคว่ำบาตรพม่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้
และหากไม่มีอะไรผิดไปจากที่คาดการณ์ไว้ การเลือกตั้งครั้งนี้ โลกและชาวพม่าจะมีโอกาสได้เห็นอองซานซูจี เข้าไปนั่งทำหน้าที่ในตำแหน่งทางการเมืองอยู่ในสภาเป็นครั้งแรก
อย่างไรก็ตาม บรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า การเข้าไปนั้นเป็นเพียงแค่ในเชิงสัญลักษณ์มากกว่า เพราะด้วยอำนาจที่น้อยนิด ทำให้ซูจีไม่อาจจะลงมือสร้างความเปลี่ยนแปลงได้มากนักในระบบการเมืองเหมือนดังที่ใครหลายคนหรือแม้กระทั่งซูจีเองตั้งความหวังไว้
ทั้งนี้ 1 เม.ย. อาจเป็นวันที่ชาวพม่าหลายคนรอคอย และเป็นวันที่โลกต้องจารึกอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เบื้องหลังการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ซึ่งเดิมพันด้วยผลประโยชน์มหาศาลของทั้งพม่าและชาติตะวันตกนี้ ก็ทำให้โลกยังต้องเฝ้าติดตามก้าวย่างแห่งความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ต่อไปอย่างใกล้ชิดด้วยใจระทึก


