posttoday

การทูตแบบหลายช่องทางกับความขัดแย้ง

24 ตุลาคม 2554

ถ้าจะกล่าวถึงความขัดแย้ง (Conflicts) ท่านผู้อ่านคงจะจินตนาการภาพแห่งความวุ่นวาย ยุ่งเหยิง โกลาหล

ถ้าจะกล่าวถึงความขัดแย้ง (Conflicts) ท่านผู้อ่านคงจะจินตนาการภาพแห่งความวุ่นวาย ยุ่งเหยิง โกลาหล

โดย..รวิภาส กล่ำทวี 

และอาจรวมถึงความรุนแรงได้ในหลากหลายรูปแบบที่จะสามารถส่งผลถึงความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงต่างก็ต้องการทางออกที่มีลักษณะของความเป็นวิถีแห่งสันติที่มั่นคงและถาวร (Lasting Peace Resolutions)

จากประวัติศาสตร์แห่งความขัดแย้ง ทั้งที่เป็นความขัดแย้งภายในรัฐและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐ หรือประเทศต่างๆ ที่มีมานานนับหลายพันปีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จะพบว่ามีเครื่องมือหนึ่งที่มีความสำคัญ และถือว่าเป็นเครื่องมือที่บรรดาผู้นำรัฐในโลกยังคงนำมาใช้ เพื่อสร้างทางออกให้แก่ทุกความขัดแย้งนั่นก็คือ เครื่องมือที่เรียกกันว่า “การทูต” หรือที่รู้จักกันในภาษาอังกฤษว่า “Diplomacy”

ความหมายหรือนิยามของ “การทูต” นอกจากจะหมายถึงกิจกรรมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแล้ว ยังหมายรวมถึงกิจกรรมที่มีเป้าหมายเพื่อหาทางออกในเชิงสันติให้แก่ทุกความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐต่อรัฐ หรือระหว่างประเทศต่อประเทศอีกด้วย เพราะฉะนั้นในบรรดาความขัดแย้งต่างๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมักจะจบลงด้วยการผ่านกิจกรรมทางการทูตทั้งสิ้น โดยเครื่องมือหรืออาวุธสำคัญที่นักการทูตนิยมใช้กันมากที่สุดมักจะได้แก่ การเจรจาต่อรอง หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “Negotiation”

ตามหลักสากลแล้ว การทูตมักจะประกอบไปด้วย 3 รูปแบบ ได้แก่ 1) การทูตแบบทางแรก หรือ Track One Diplomacy 2) การทูตแบบทางที่สอง หรือที่นิยมเรียกว่า Track Two Diplomacy และ 3) การทูตแบบหลายทาง หรือที่นิยมเรียกกันว่า Multi Track Diplomacy ซึ่งการทูตทั้งสามรูปแบบก็มีลักษณะและความสำคัญที่เป็นแบบฉบับของตนเอง และมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่สภาวการณ์และสภาพความรุนแรงของความขัดแย้ง

การทูตแบบทางแรก จะหมายถึงกิจกรรมทางทูตแบบประเพณีนิยมที่ผ่านการดำเนินการทั้งหมดในรูปแบบของความเป็นทางการ(Formal Pattern) โดยมีนักการทูตมืออาชีพซึ่งถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ การทูตทางแรกได้รับการยอมรับว่าเป็นการทูตแบบฉบับดั้งเดิม มีความเป็นทางการและถือเป็นแบบแผนและแนวทางทางปฏิบัติระหว่างประเทศที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล หน่วยงานที่สำคัญในภาครัฐที่มีบทบาทในทางการทูตแบบทางแรกแบบเต็มรูปแบบได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศของในแต่ละประเทศ ซึ่งเปรียบเสมือนองค์กรหลักของบรรดานักการทูตมืออาชีพทั่วโลก

การทูตแบบทางที่สอง จะหมายถึงกิจกรรมทางการทูตที่ดำเนินการโดยนักแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่ไม่ใช่นักการทูตในภาครัฐ แต่จะมาจากองค์กรต่างๆ ในภาคเอกชน เช่น พวกเอ็นจีโอ (NonGovernmental Organizations) หรือไม่ก็มาจากนักวิชาการจากบรรดาสถาบันทางการศึกษาหรือมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งการทูตในแบบทางที่สองจะมีลักษณะของความเป็นทางการน้อยกว่าในแบบแรกหรือไม่เป็นทางการเลย

เป้าหมายของการทูตแบบทางที่สอง ได้แก่ การลดความตึงเครียดและความโกรธระหว่างคู่กรณีผ่านการสื่อสารระหว่างกัน และแลกเปลี่ยนมุมมองและความคิดที่แตกต่างระหว่างกันแบบเปิดเผย การทูตแบบทางที่สองได้รับการยอมรับจากนักการทูตในแบบทางแรกว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งที่ควรค่าต่อการได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ เนื่องจากการทูตแบบทางแรกยังคงมีข้อจำกัดอยู่พอสมควร

การทูตรูปแบบที่สาม หรือที่เรียกกันว่าการทูตแบบหลายทาง จะหมายถึงกิจกรรมทางการทูตที่นำเอาทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนมาทำงานร่วมกันในลักษณะของการบูรณาการ (Integrated Approach) เป็นการทูตที่คำนึงถึงองค์ประกอบทางสังคมทั้งหมด การทูตแบบหลายทางสามารถใช้ได้ทั้งในความขัดแย้งภายในรัฐและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐ

หลักการสำคัญของการทูตแบบหลายช่องทาง ได้แก่ 1) การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างคู่กรณี 2) การสร้างการยอมรับร่วมกันในเป้าหมายแห่งสันติภาพในระยะยาว 3) การยอมรับวัฒนธรรมแห่งความแตกต่างทางความคิดซึ่งกันและกัน 4) การสร้างกิจกรรมแห่งความร่วมมือ ร่วมแรงและร่วมใจต่อกัน โดยให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในความขัดแย้งมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและหาทางออกในเชิงสันติร่วมกัน 5) การใช้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีที่เพิ่มความสะดวกในการติดต่อสื่อสารระหว่างกันแบบกระชับ ฉับไว และต่อเนื่อง โดยปราศจากอุปสรรคในการติดต่อสื่อสาร 6) การอำนวยความสะดวกให้แก่กันในทุกกิจกรรม โดยมีเป้าหมายเดียวกันเพื่อนำไปสู่สันติภาพและความเข้าใจอันดีในระยะยาว 7) การสร้างความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน และสร้างความรับผิดชอบร่วมกันเพื่อนำไปสู่ ข้อสุดท้ายได้แก่ 8) การแปรสภาพของความขัดแย้งไปสู่ความรัก ความสามัคคี และความเข้าใจซึ่งกันและกันในระยะยาว

การทูตแบบหลายทางนอกจากจะต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและทุกภาคส่วนของสังคมแล้ว ยังจะต้องอาศัยระยะเวลาในการดำเนินการจนกว่าจะเห็นผล การทูตแบบหลายทางกำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญและเป็นที่นิยมกันมากในหมู่ประชาคมโลก เนื่องจากเป็นวิธีที่สามารถนำเอาตัวแสดงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในความขัดแย้งมาทำงานร่วมกัน รับผิดชอบร่วมกันและหาทางออกร่วมกันเพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือ สันติภาพในระยะยาว...

 

ข่าวล่าสุด

อีลอน มัสก์ สร้างสถิติเป็นคนแรกของโลกที่รวยเกิน 700,000 ล้านดอลลาร์