ความหวังใหม่ FTA ไทย-อินเดีย
ไทยในอินเดียนั้น ต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่
โดย...เจียรนัย อุตะมะ
การได้รัฐบาลใหม่ พรรคเพื่อไทย ภายใต้นายกรัฐมนตรี “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” |เป็นความหวังใหม่ว่าเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย-อินเดีย จริงหรือไม่
อินเดียที่มีทีท่าที่เมินเฉยกับ FTA ไทยมาตั้งแต่ปี 2548 จะยอมเปลี่ยนท่าทีเป็นบวกเพียงเพราะสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับพรรคนี้ ที่ลงนามให้มี FTA ไทย-อินเดียตั้งแต่ปี 2546 สมัย “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี หรือทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ลมปากของทูตและความหวังของคณะเจรจาฝ่ายไทย หรือว่าออกมาจากใจของคนอินเดีย ภายใต้ความเชื่อที่ว่าความสัมพันธ์ที่แนบแน่นจะช่วยนำร่องทางการค้าที่อิงผลประโยชน์ระหว่างประเทศได้
“กิตติรัตน์ ณ ระนอง” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ตระหนักถึงความสำคัญของการค้าระหว่างประเทศดี ถึงขนาดให้กรมเจรจาการค้าขึ้นตรงต่อตัวเอง เข้มข้นยิ่งกว่ารัฐบาลชุดก่อนที่ให้ รมช.พาณิชย์ “อลงกรณ์ พลบุตร” ดูแล
สถานการณ์ล่าสุดของการเจรจา FTA ไทย-อินเดีย ระดับอนุกรรมการเมื่อต้นเดือนก.ย.ที่ผ่านมา หนึ่งในอนุกรรมการเจรจาการค้ายังยืนยันว่าอินเดียยังมีท่าทีเช่นเดิมต่อไทย นั่นคือไร้ความคืบหน้าใดๆ เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ทั้งทางการทูตและกระทรวงพาณิชย์ก็ยังมีความหวังว่าจะคืบหน้าภายใต้รัฐบาลชุดนี้
“ตอนนี้ท่านยังสาละวนกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นในประเทศ แต่เสร็จจากเรื่องนั้นแล้วคาดว่าจะมีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้เพื่อผลักดันให้มีความหวังต่อไป” ศรีรัตน์ รัษฐปานะ อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ปรารภกับเอกอัครราชทูตไทยประจำอินเดีย ระหว่างรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารจีนในกรุงนิวเดลี
นับตั้งแต่ปี 2548 ที่ผ่านมา อินเดียได้เลื่อนเจรจา FTA ระหว่างไทย-อินเดีย อย่างไม่มีกำหนด เพราะไทยพลิกมาเกินดุลการค้าหลังลงนาม FTA ระหว่างกัน จากก่อนหน้านี้ที่ขาดดุลการค้าอินเดียมาตลอด
การเจรจาเพิ่งมาเร่งตัวใน 2 ปีนี้ ที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ได้ผ่านร่างกรอบการเจรจาให้เป็นแพ็กเกจทั้งสินค้า บริการ การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ จากก่อนก่อนหน้านี้แยกเรื่องเจรจา
ผลจากการลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าในกลุ่มเร่งลดภาษี 82 รายการ จากทั้งหมด 5,300 รายการ อาทิ สินค้าเกษตร แร่และเคมีภัณฑ์ อัญมณีและเครื่องประดับ ชิ้นส่วนยานยนต์ อะลูมิเนียม เครื่องจักรกล เครื่องใช้ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ไทยได้ดุลการค้าอินเดีย
ล่าสุดตัวเลขการค้าระหว่างไทย-อินเดีย 7 เดือนแรกปีนี้ ไทยยังเป็นฝ่ายเกินดุลการค้าอินเดีย 1,363 ล้านบาท โดยมีการ|ส่งออกสินค้าไปอินเดีย 3,100 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่นำเข้าเพียง 1,736 ล้านเหรียญสหรัฐ
ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอินเดียได้คัดค้านการเปิดเสรีการค้าระหว่างไทยและอินเดียเพิ่มขึ้นจาก 82 รายการที่ทำไปแล้ว ผู้ประกอบการเหล่านั้นเป็นต่างชาติทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่ประกอบธุรกิจสิ่งทอ รถยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ในอินเดีย แข่งขันกับสินค้าประเภทเดียวกันที่นำเข้าจากไทย ทำให้อินเดียไม่สามารถทำรายการสินค้าอ่อนไหวเพื่อแลกเปลี่ยนกันได้
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการได้รัฐบาลใหม่เริ่มมีสัญญาณที่ดีเกิดขึ้น
“ผมมั่นใจว่ามีสัญญาณที่ดีมากที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2555 ระหว่างไทยกับอินเดีย เรื่องเกินดุล ขาดดุล ส่งออก นำเข้า สมัยนี้ดูยากเพราะฐานการผลิตเปลี่ยน ถ้าดูตัวเลขอย่างเดียวอาจหลงทางได้ อย่างสหภาพยุโรป 27 ประเทศ บริษัทไทยซื้อกิจการฝรั่งเศส มีคนงานฝรั่งเศส จากแหล่งต่างๆ ประเทศอื่น ทางด้านเศรษฐศาสตร์อย่าดูการค้าได้ดุล ขาดดุล แต่เศรษฐกิจประเทศได้ประโยชน์น่าจะสำคัญกว่า ถ้า FTA สร้างมูลค่าทางการค้า ทำให้เศรษฐกิจขยายตัว รายได้ประชาชนเพิ่มขึ้น เก็บภาษีได้มากขึ้น ก็จ้างงานได้มากขึ้น” เอกอัครราชทูตไทยประจำอินเดีย ให้ความเห็น
ไทยเป็นประเทศแรกที่ทำข้อตกลง FTA กับอินเดีย แต่ค้างเติ่งอยู่แค่ 82 รายการ อีกกว่า 5,000 รายการยังค้างเติ่ง จนถึงบัดนี้ ขณะที่ข้อตกลง FTA อาเซียน-อินเดียที่เกิดขึ้นภายหลังมีการลดภาษีระหว่างกันแซงหน้าไปตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2553 ที่ผ่านมา
“วิษณุ ประกาศ” อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ อินเดีย กล่าวในงานเลี้ยงอาหารกลางวันแก่สื่อมวลชนไทยและอินเดีย ที่โรงแรมทัชมาฮาล กรุงนิวเดลี ว่า ไทยและอินเดียมีความสัมพันธ์ที่ดีมานาน ไทยเป็นประเทศแรกที่มี FTA กับอินเดีย มีบริษัทอินเดียเข้าไปลงทุนในประเทศไทย อาทิ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) หรือ TSTH บริษัท ทาทา มอเตอร์ส (ประเทศไทย) และบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) และมีเป้าหมายว่าภายในปี 2557 มูลค่าการค้าระหว่างกันจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
แต่การที่จะมุ่งไปสู่เป้าหมายนั้นยังมีช่องว่างทางข้อมูล ซึ่งการมีรัฐบาลใหม่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะให้การเจรจาเดินหน้าต่อไปได้
“หวังว่าปี 2555 จะมีสถานการณ์สำคัญที่จะตอกย้ำความสัมพันธ์ระหว่างไทย-อินเดียที่ลึกซึ้งกว่าเดิม”
“พิศาล มาณวพัฒน์” เอกอัครราชทูตไทยประจำอินเดีย กล่าวว่า ขณะนี้การเมืองประเทศไทยกลับมาสงบดังเดิม หวังว่าความร่วมมือจะเกิดขึ้นอีกครั้งในฐานะที่ไทยเป็นคู่ค้าหลักที่อินเดียไว้วางใจได้ ภายหลังเข้ารับตำแหน่งเมื่อปลายเดือน มี.ค. ได้เดินทางสำรวจความเป็นอยู่ของผู้ประกอบการไทยในอินเดีย พบว่าบริษัทเหล่านั้นมีมุมมองที่ดีเกินไปในการลงทุนในอินเดียที่จะมีการเจรจาในระดับต่อไป
สถานการณ์การลงทุนของภาคเอกชนไทยในอินเดียนั้น ต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ที่ทำให้ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจสูง แต่ยากที่จะผลักภาระต้นทุนไปในราคาสินค้า อินเดียจึงเหมาะสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความสามารถกระจายความเสี่ยง หรือบริษัทที่ร่วมทุนกับคนท้องถิ่น โดยไม่มุ่งเข้ามาผลิตขายสินค้าให้อินเดียเพียงอย่างเดียว
แต่ใช้อินเดียเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก|ไปต่างประเทศด้วย ยกเว้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจในอินเดียมาจาก
ประการแรก อัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)
ประการที่สอง คอร์รัปชัน
ประการที่สาม กฎหมายแรงงานที่เข้มงวด
ประการที่สี่ ปัญหาสาธารณูปโภคพื้นฐาน ทั้งการจัดหาที่ดิน ขาดแคลนน้ำ ไฟ และระบบขนส่ง
ผู้ประกอบการไทยที่ไปประกอบธุรกิจ|ในอินเดีย มีทั้งบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจและกำลังฝ่าฟันอุปสรรค
สำหรับบริษัทที่พิสูจน์ผลงานแล้วว่าสำเร็จและกำลังขยายงานคือ บริษัท พฤกษา อินเดีย เฮาส์ซิ่ง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ (อินเดีย) และบริษัท เดลต้า อินเดีย อีเลคโทรนิคส์
บริษัทที่กำลังต่อสู้ฝ่าฟันกับปัญหาการลงทุนในอินเดีย คือ บริษัท อิตาเลียนไทย
ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) บริษัท ไทยซัมมิท นีล ออโต้ ไพร์เวท บริษัท ร้อกเวิธ ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์สำนักงานที่เพิ่งเข้าไปจัดตั้งบริษัท ร้อกเวิธ ซิสเต็มส์ เฟอร์นิเจอร์ (อินเดีย)
ไพรเวท ตั้งแต่ปี 2552 แต่โรงงานเพิ่งแล้วเสร็จเฟสแรกปีนี้ และสปาไทย ในโรงแรมเอเชียนา เมืองเชนไน (อ่านต่อในหน้า B8 ที่จะทยอยตีพิมพ์ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 19 ก.ย.)
ปัญหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องกฎหมายแรงงานที่ต้องการให้มีการใช้แรงงานท้องถิ่นที่มีอยู่จำนวนมาก แต่ขาดความรู้ความชำนาญเฉพาะทางที่ทำให้ทั้ง ITD และสปาไทย ที่ต้องการแรงงานที่มีทักษะสูงติดขัดในข้อกฎหมายที่ว่าแรงงานที่นำเข้าอินเดียต้องเงินเดือนขั้นต่ำ 2.5 หมื่นเหรียญสหรัฐต่อปีหรือประมาณ 7.5 แสนบาทต่อปี และหากมีพนักงานในสำนักงานเกิน 24 คนต้องมี|เงินส่งเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 12% ที่จะสามารถไถ่ถอนคืนได้เมื่ออายุ 58 ปี
ขณะที่แรงงานในกรุงนิวเดลีนั้นมีค่าจ้างขั้นต่ำ รวมค่าอาหารและน้ำชาและของว่างสูงถึง 275 บาทต่อวัน สูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำในไทยที่ 235 บาทต่อวัน และมีการต่อรองปรับค่าแรงเพิ่มขึ้นทุก 6 เดือน
กฎหมายอินเดียไม่ให้มีการส่งกำไรกลับประเทศ บริษัทไทยที่ลงทุนในนี้ส่วนใหญ่มีกำไร แล้วใช้กำไรจากธุรกิจที่อินเดียลงทุนต่อ หรือเก็บกำไรไว้ที่อินเดียกระนั้นก็ตาม ประชากรหรือกำลังซื้อ|ที่มากถึง 1,200 คน ในอินเดียก็ยังเป็น|แรงดึงดูดใจผู้ประกอบการไทยเข้ามาลงทุนที่อินเดีย
ล่าสุด บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ (อินเดีย) ได้เข้ามาตั้งสำนักงานขายตรงในอินเดีย และมีแผนจะลงทุนตั้งโรงงานผลิตสินค้าในรัฐฝั่งตะวันตกของอินเดีย เครือโรงแรมดุสิตธานี ได้ร่วมทุนกับกลุ่มเบิร์ดกรุ๊ปจะเปิดโรงแรมระดับ 6 ดาว และโรงแรม D2 ใกล้ท่าอากาศยานนานาชาติ|กรุงนิวเดลี
ธนาคารกรุงไทยมีสาขาที่เมืองมุมไบ นอกจากนั้นนักธุรกิจไทยเชื้อสายอินเดียรายย่อยได้เข้ามาลงทุนเปิดร้านอาหาร ธุรกิจสปา ธุรกิจค้าปลีก (108 สมาร์ท |ช็อป) และเปิดโรงแรมราคาประหยัดในกรุงนิวเดลี
ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มีแผนจะส่งเสริมอุตสาหกรรมไทยมีศักยภาพที่จะออกไปลงทุนในอินเดีย ได้แก่ กิจการแปรรูปอาหาร ยานยนต์และชิ้นส่วน อัญมณีและเครื่องประดับ อุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐาน และกิจการบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เป็นต้น
“อันชุมาน คานนา” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจ สมาพันธ์หอการค้าและอุตสาหกรรมอินเดีย ประมาณการว่า ปีหน้าคาดว่าอัตราเงินเฟ้ออินเดียจะลดลงเหลือ 7% จากปัจจุบัน 9.5% และจีดีพีที่ 8-8.5% จากปัจจุบัน 8.5%
แนวโน้มเงินเฟ้อที่คาดว่าจะลดลงมาจากราคาอาหารที่ปรับตัวลดลง โดยจะส่งเสริมให้มีการผลิตอาหารในประเทศเพิ่มเพื่อรองรับความต้องการของคนในประเทศ ทั้งนี้ อินเดียนำเข้าสินค้าเกษตรสูงถึง 63-64% ของจีดีพี
สำหรับปัญหาด้านกฎหมายแรงงานนั้น รัฐบาลมีนโยบายตั้งเขตการลงทุนแห่งชาติเพื่อให้ผู้ประกอบการในเขตที่ตั้งขึ้นมามี ความยืดหยุ่นในการนำเข้าแรงงานที่มีความชำนาญ ซึ่งคาดว่าจะประกาศใน 1-2 |เดือนนี้
ด้าน FTA ไทย-อินเดีย “มานจู คาลรา ประกาศ” ผู้ช่วยเลขาธิการทั่วไป สมาพันธ์หอการค้าและอุตสาหกรรมอินเดีย กล่าวว่า อยู่ในขั้นตอนการตกลงเจรจาโดยนอกจากไทยแล้ว อินเดียยังมี FTA กับญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ สหรัฐ จีน อาเซียน และสหภาพยุโรป ทั้งนี้ไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 3 รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย
“ปี 2555 เป็นปีที่ครบรอบความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนและอินเดีย จะมีการประชุมพิเศษระหว่างประเทศในอาเซียน|กับอินเดียอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น” มานจู กล่าว


