“อารยเกษตร สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” ภูมิปัญญา พลังชุมชน สระบุรีเมืองน่าอยู่
“อารยเกษตร สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” ครั้งที่ 2 เทศกาลแห่งความสุข ภูมิปัญญา และพลังชุมชน ณ วัดมงคลชัยพัฒนา จังหวัดสระบุรี
ในช่วงเวลาที่โลกกำลังหันกลับมาทบทวนความหมายของ “ความยั่งยืน” ประเทศไทยมีต้นแบบที่เป็นมากกว่านโยบาย หากแต่คือ “การลงมือทำ” ที่มีรากฐานมั่นคงและดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน หนึ่งในต้นแบบเหล่านั้น คือพื้นที่ “วัดมงคลชัยพัฒนา” ในจังหวัดสระบุรี ซึ่งนอกจากเป็นพระอารามหลวง ยังถือเป็นผืนดินประวัติศาสตร์ของแนวคิด “เกษตรผสมผสานตามแนวพระราชดำริ” และ “ศาสตร์พระราชา” ที่กลายเป็นรากฐานสำคัญของแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย
วัดมงคลชัยพัฒนา ผืนแผ่นดินแห่งการเริ่มต้น
วัดมงคลชัยพัฒนา ตั้งอยู่ในตำบลห้วยบง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี เป็นพื้นที่ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินงานตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 พระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินวัดแห่งนี้บางส่วนเพื่อใช้เป็นพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาเกษตรแบบผสมผสาน ซึ่งในเวลาต่อมากลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “มูลนิธิชัยพัฒนา” และศูนย์เรียนรู้ตามแนวพระราชดำริแห่งแรกในภาคกลาง
นับจากวันนั้นจนถึงปัจจุบัน วัดมงคลชัยพัฒนาไม่เพียงเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องการพัฒนาเกษตรกรรมที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตไทย ภูมิปัญญาท้องถิ่น และความสมดุลของระบบนิเวศ ด้วยแนวคิดที่ผสมผสาน “พอเพียง” และ “เป็นไปได้จริง” ให้ดำเนินไปพร้อมกัน
“อารยเกษตร” กับการกลับคืนของสมดุล
คำว่า “อารยเกษตร” ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดทางวิชาการ หากแต่สะท้อนถึงการบูรณาการระหว่างเกษตรกรรม วัฒนธรรม และการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ด้วยความเคารพในทรัพยากรธรรมชาติและคุณค่าของผู้คน
กิจกรรม “อารยเกษตร สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” ครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 20–22 มิถุนายน 2568 ที่วัดมงคลชัยพัฒนา จึงไม่ใช่งานเทศกาลทั่วไป แต่เป็นการสะท้อนพลังของความร่วมมือในระดับท้องถิ่นที่ก่อรูปเป็นงานวัฒนธรรม เกษตรกรรม และศิลปะอย่างกลมกลืน
หลากกิจกรรมที่เชื่อมโยงรากวัฒนธรรมสู่อนาคต
ในงาน “อารยเกษตร สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” ครั้งนี้ มีกิจกรรมหลากหลายที่สะท้อนภาพของการพัฒนาแบบองค์รวม ครอบคลุมทั้งมิติของเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การศึกษา สิ่งแวดล้อม และสุขภาวะของชุมชน โดยเนื้อหาของงานจัดเรียงตามธีมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ
- การแสดงโขนเฉลิมพระเกียรติ และดนตรีลูกทุ่ง-นาฏศิลป์ไทย ที่เน้นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย และส่งต่อสู่คนรุ่นใหม่
- ตลาดเกษตรปลอดภัย ที่เปิดพื้นที่ให้เกษตรกรนำผลผลิตและผลิตภัณฑ์แปรรูปมาจำหน่าย อาทิ ผักปลอดสารพิษ ข้าวอินทรีย์ เครื่องจักสาน ผ้าทอ และสินค้าชุมชนที่เชื่อมโยงกับนวัตกรรมท้องถิ่น
- กิจกรรมถ่ายภาพและนิทรรศการพื้นที่สีเขียว เช่น “ทุ่งปอเทือง” และ “อุโมงค์โคมไฟระย้ายาวกว่า 300 เมตร” รวมถึงซุ้ม “หนุมมานมงคล” ที่สื่อถึงพลังของปัญญา ความจงรักภักดี และความร่วมมือของคนในชุมชน
- การแข่งขันวาดภาพเทิดพระเกียรติ ในหัวข้อ “สืบสาน รักษา และต่อยอด” และกิจกรรมทำอาหารจาก “ลูกหม่อน–ใบหม่อน” ซึ่งเชื่อมโยงวิถีเกษตรไทยกับการส่งเสริมสุขภาพ
- กิจกรรมรำวงย้อนยุค ที่เชื่อมโยงความสุขและความสามัคคีในชุมชน พร้อมสมทบรายได้เพื่อกองทุนพัฒนาคุณภาพชีวิตของอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ตามนโยบาย “คุณภาพชีวิตดี คนสระบุรี ไม่ทอดทิ้งกัน”
ต้นหม่อน สัญลักษณ์ของความต่อเนื่อง
หนึ่งในกิจกรรมพิเศษตลอดงาน คือการแจก ต้นหม่อนจำนวน 1,010 ต้น จากศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ สระบุรี ซึ่งถือเป็นการส่งต่อพันธุ์พืชเศรษฐกิจที่มีคุณค่าทั้งทางสุขภาพ เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม โดยเฉพาะการต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย อาหารสุขภาพ และภูมิปัญญาการแปรรูปแบบดั้งเดิม
การเฉลิมพระเกียรติที่กลายเป็นพลังพัฒนา
การจัดงานครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญคือการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการแสดงให้เห็นผลลัพธ์ของการสืบสานแนวคิด “พัฒนาที่ยั่งยืน” ตามศาสตร์พระราชา ที่มีผลกระทบต่อชุมชนจริง ทั้งด้านรายได้ วิถีชีวิต สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งสร้างแรงบันดาลใจให้กับชุมชนอื่นทั่วประเทศในการปรับใช้โมเดล “อารยเกษตร” ในบริบทของตนเอง


