เบื้องหลังดีลใหญ่ Liverpool เซ็นซบ Adidas และทำไมลิเวอร์พูลยังต้องใช้ NIKE
ลิเวอร์พูลหวนคืน Adidas ด้วยสัญญา 60 ล้านปอนด์ต่อปี เริ่ม 2025/26 แต่ต้องใช้ชุด Nike ต่อถึงสิงหาคม เผยเบื้องหลังดีลใหญ่ เหตุผลทิ้ง Nike และความทะเยอทะยานร่วมกับ Adidas ที่หวังย้อนยุครุ่งเรือง
จากข่าวที่ ลิเวอร์พูลกลับมาร่วมงานกับอาดิดาสอีกครั้งด้วยสัญญาซื้อชุดแข่งมูลค่า 60 ล้านปอนด์ต่อปี ( 2.7 พันล้านบาท) เป็นเวลา 5 ปี รวมแล้ว มูลค่าสัญญามหาศาลถึง 300 ล้านปอนด์ หรือ 13,500 ล้านบาท
ข้อตกลงดังกล่าวจะทำให้ว่าที่แชมป์พรีเมียร์ลีกทีมนี้กลับมาสวมชุดแข่งของอาดิดาสอีกครั้งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2012 ก่อนจะบ้ายมาใช้ ไนกี้ ที่กำลังจะหมดสัญญาในปัจจุบัน
การเซ็นสัญญากับ อาดิดาส สร้างความคึกคักกับแฟนบอล เพราะได้ย้อนไปสู่วันชื่นคืนสุขที่ยิ่งใหญ่ ในยุคที่คว้าถ้วยรางวัลมาครองนานถึง 11 ปี ตั้งแต่ปี 1985 ถึง 1996 สมัยที่ใช้ อาดิดาส
ส่วนทีมบริหารก็นั่งนับเงินฟ่อนใหญ่ เพราะนี่คือการเซ็นสัญญารับเงินค่าสวมใส่เครื่องนุ่งหุ่มในแบรนด์ใหม่ที่มากที่สุดนับตั้งแต่มีมา
"อาดิดาสและลิเวอร์พูลมีความทะเยอทะยานที่จะประสบความสำเร็จร่วมกัน และเราตื่นเต้นมากที่จะได้ร่วมงานกันอีกครั้ง โดยเรามุ่งหวังที่จะสร้างชุดแข่งที่น่าทึ่งมากขึ้นเพื่อช่วยขับเคลื่อนประสิทธิภาพในสนาม"
“เราขอขอบคุณ Nike สำหรับการสนับสนุนตลอด 5 ปีที่ผ่านมา และขอให้พวกเขาโชคดีกับอนาคต” นั่นคือคำพูดของ บิลลี่ โฮแกน CEO ของสโมสรลิเวอร์พูล
เนื่องจากข้อตกลงจะเริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม ลิเวอร์พูลจะลงเล่นในชุดปัจจุบันของ Nike ในช่วงเริ่มต้นพรีซีซั่น ซึ่งปกติจะอยู่ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ด้วยเหตุผลด้านสัญญา
ถึงตอนนี้หงส์แดงกำลังพิจารณาทางเลือกในการทัวร์พรีซีซั่นที่ญี่ปุ่นและฮ่องกง แม้ว่าจะยังไม่ได้รับการยืนยันก็ตาม
ทีนี้มาดูเบื้องหลังการเซ็นสัญญามูลค่ามหาศาลของ ลิเวอร์พูล กับ อาดิดาสกัน ว่าเหตุใด หงส์แดงจึงเลือกจะเดินหันหลังให้ผู้สนับสนุนรายเดิมอย่าง Nike ที่เสนอสัญญญาใหม่ให้ในแบบที่ไม่ได้แย่ไปกว่าเดิมเลย
มูลค่าการเซ็นสัญญากับอาดิดาสของสโมสรลิเวอร์พูล
- มูลค่า: ข้อมูลจากแหล่งข่าวระบุว่าสัญญาระหว่างลิเวอร์พูลและอาดิดาสมีมูลค่าประมาณ 60 ล้านปอนด์ต่อปี (ประมาณ 2,580 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นสัญญาที่มีมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร
สัญญานี้เริ่มต้นตั้งแต่ฤดูกาล 2025/26 และคาดว่าเป็นสัญญาระยะยาว (อาจถึง 5 ปีหรือมากกว่า) รวมถึงอาจมีส่วนแบ่งจากยอดขายสินค้าเพิ่มเติม แต่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับเปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่งดังกล่าว
เมื่อเปรียบเทียบกับสัญญาเก่า : สัญญากับไนกี้ที่กำลังจะสิ้นสุดในฤดูกาล 2024/25 มีมูลค่าพื้นฐาน 30 ล้านปอนด์ต่อปี บวกส่วนแบ่งจากยอดขาย 20% ทำให้รวมแล้วอยู่ที่ประมาณ 50-60 ล้านปอนด์ต่อปี ดังนั้น สัญญาใหม่กับอาดิดาสจะมีมูลค่าพื้นฐานสูงกว่าไนกี้อย่างชัดเจน
เบื้องหลังการไม่ต่อสัญญากับไนกี้ (NIKE)
- ผลประโยชน์ทางการเงิน : สัญญากับไนกี้ที่เริ่มตั้งแต่ปี 2020 ถือว่ามีมูลค่าน้อยกว่าข้อเสนอใหม่จากอาดิดาส แม้ว่าไนกี้จะช่วยเพิ่มยอดขายสินค้าของลิเวอร์พูลได้อย่างมาก (โดยเฉพาะในปี 2020 ที่สโมสรคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก)
แต่ข้อเสนอของอาดิดาสมีมูลค่าพื้นฐานสูงกว่า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลิเวอร์พูลตัดสินใจเปลี่ยน
- ความสัมพันธ์ในอดีต : ลิเวอร์พูลเคยร่วมงานกับอาดิดาสมาก่อน (1985-1996 และ 2006-2012) และแฟนบอลบางส่วนมีความผูกพันกับแบรนด์นี้ อาจเป็นเหตุผลที่สโมสรพิจารณากลับไปสู่อาดิดาสอีกครั้ง
- กลยุทธ์ของไนกี้ มีการคาดเดาว่าไนกี้อาจไม่ได้ยื่นข้อเสนอที่แข่งขันได้เพียงพอ หรืออาจมุ่งเน้นไปที่การลงทุนกับสโมสรอื่นๆ หรือทีมชาติที่มีศักยภาพทางการตลาดสูงกว่าในช่วงนี้
เหตุผลที่ผู้บริหารทีมเลือกเซ็นสัญญากับอาดิดาส
- มูลค่าสัญญาที่สูงขึ้น : ผู้บริหารของลิเวอร์พูลมองหาความมั่นคงทางการเงิน และข้อเสนอจากอาดิดาสที่สูงถึง 60 ล้านปอนด์ต่อปีตอบโจทย์เป้าหมายนี้
- ความสำเร็จในอดีต : อาดิดาสเคยเป็นพันธมิตรในยุคที่ลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จ และการออกแบบชุดแข่งของอาดิดาสได้รับการตอบรับดีจากแฟนบอล ซึ่งอาจช่วยเพิ่มยอดขายสินค้า
- การขยายตลาด : อาดิดาสมีเครือข่ายที่แข็งแกร่งในยุโรปและทั่วโลก ซึ่งอาจช่วยให้ลิเวอร์พูลเข้าถึงฐานแฟนบอลใหม่ๆ ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในตลาดที่อาดิดาสครองส่วนแบ่งอยู่แล้ว
การต่อสู้ทางการตลาดระหว่างไนกี้ (NIKE) กับอาดิดาส (adidas)
- การแย่งชิงลูกค้าเบอร์ใหญ่
ไนกี้
- ทีมชาติเยอรมนี : ในปี 2024 ไนกี้ชนะการประมูลสัญญากับสหพันธ์ฟุตบอลเยอรมนี (DFB) ซึ่งเดิมเป็นของอาดิดาสมากว่า 70 ปี ด้วยมูลค่ากว่า 100 ล้านยูโรต่อปี (เริ่มตั้งแต่ 2027) ถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของไนกี้ในตลาดยุโรป
- บาร์เซโลน่า ไนกี้เป็นสปอนเซอร์ชุดแข่งของบาร์เซโลนามาตั้งแต่ปี 1998 ด้วยมูลค่าประมาณ 105 ล้านยูโรต่อปี (รวมโบนัส)
- เปแอสเช (PSG) : ไนกี้เซ็นสัญญากับปารีส แซงต์ แชร์กแม็ง ด้วยมูลค่าประมาณ 80 ล้านยูโรต่อปี
อาดิดาส
- แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : อาดิดาสต่อสัญญากับแมนฯ ยูไนเต็ดในปี 2023 เป็นเวลา 10 ปี มูลค่ารวม 900 ล้านปอนด์ (เฉลี่ย 90 ล้านปอนด์ต่อปี)
- เรอัล มาดริด : อาดิดาสเป็นสปอนเซอร์มาตั้งแต่ปี 1998 ด้วยมูลค่าประมาณ 120 ล้านยูโรต่อปี
- บาเยิร์น มิวนิค : อาดิดาสถือหุ้นในสโมสรและเซ็นสัญญามูลค่าประมาณ 60 ล้านยูโรต่อปี
ภาพรวม ไนกี้เน้นบุกตลาดด้วยการดึงทีมชาติและสโมสรที่มีแฟนบอลทั่วโลก ขณะที่อาดิดาสรักษาฐานลูกค้าในยุโรปและเพิ่มการลงทุนในสโมสรที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน
แบรนด์แอมบาสเดอร์เบอร์ใหญ่ของอาดิดาส
ลิโอเนล เมสซี่ (Lionel Messi)
- มูลค่า: ประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ต่อปี (ราว 660 ล้านบาท)
- รายละเอียด: เมสซี่เป็นพรีเซ็นเตอร์หลักของอาดิดาสมาตั้งแต่ปี 2006 และสวมรองเท้าฟุตบอลรุ่น Nemeziz และ X Speedflow
เจมส์ ฮาร์เดน (James Harden)
- มูลค่า: สัญญา 13 ปี มูลค่ารวม 200 ล้านดอลลาร์ (เฉลี่ย 15 ล้านดอลลาร์ต่อปี หรือ 495 ล้านบาท)
เดวิด เบ็คแฮม (David Beckham)
- มูลค่า: สัญญาตลอดชีพมูลค่ารวม 160 ล้านดอลลาร์ (เฉลี่ยประมาณ 5-10 ล้านดอลลาร์ต่อปี)
- รายละเอียด: เบ็คแฮมเซ็นสัญญาตลอดชีพกับอาดิดาสในปี 2003 และยังคงมีส่วนร่วมในแคมเปญต่างๆ
แบรนด์แอมบาสเดอร์เบอร์ใหญ่ของไนกี้
คริสเตียโน โรนัลโด้ (Cristiano Ronaldo)
- มูลค่า: สัญญาตลอดชีพมูลค่ารวม 1,000 ล้านดอลลาร์ (เฉลี่ยประมาณ 24 ล้านดอลลาร์ต่อปี หรือ 792 ล้านบาท)
- รายละเอียด: โรนัลโด้เซ็นสัญญากับไนกี้ตั้งแต่ปี 2003 และใช้รองเท้ารุ่น Mercurial
เลบรอน เจมส์ (LeBron James)
- มูลค่า: สัญญาตลอดชีพมูลค่ารวม 1,000 ล้านดอลลาร์ (เฉลี่ยประมาณ 30 ล้านดอลลาร์ต่อปี หรือ 990 ล้านบาท)
ไทเกอร์ วูดส์ (Tiger Woods)
- มูลค่า: สัญญารวมกว่า 500 ล้านดอลลาร์ ในช่วง 27 ปี (เฉลี่ยประมาณ 18 ล้านดอลลาร์ต่อปี หรือ 594 ล้านบาท) ก่อนยุติความสัมพันธ์ในปี 2024
บทสรุปการแย่งชิงตลาดระหว่างไนกี้กับอาดิดาส
- ไนกี้ : มีความได้เปรียบในแง่พลังทางการตลาดและการเข้าถึงระดับโลก โดยเฉพาะการเซ็นสัญญากับทีมชาติเยอรมนี ซึ่งเป็นการตีตลาดยุโรปที่อาดิดาสครองมานาน นอกจากนี้ยังมีแอมบาสเดอร์ระดับท็อปที่มีมูลค่าสัญญาสูงกว่า (เช่น โรนัลโด้, เลบรอน) และครองส่วนแบ่งตลาดโลกมากกว่า (ไนกี้เป็นอันดับ 1 ด้วยมูลค่าตลาดกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์)
- อาดิดาส : ได้เปรียบในตลาดยุโรปและความสัมพันธ์ระยะยาวกับสโมสรใหญ่ (เช่น แมนฯ ยูไนเต็ด, เรอัล มาดริด) รวมถึงการกลับมาครองใจลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นสโมสรที่มีฐานแฟนบอลทั่วโลก อย่างไรก็ตาม การสูญเสียทีมชาติเยอรมนีและปัญหาทางการเงินจากกรณี Yeezy ทำให้อาดิดาสเสียเปรียบในระยะสั้น
- ใครเสียเปรียบ : ปัจจุบันอาดิดาสดูเสียเปรียบมากกว่าเล็กน้อย เนื่องจากไนกี้มีโมเมนตัมในการขยายอิทธิพลทั้งในวงการฟุตบอลและกีฬาอื่นๆ แต่สงครามนี้ยังไม่จบ และอาดิดาสอาจพลิกกลับมาได้หากใช้กลยุทธ์ที่เน้นความคิดสร้างสรรค์และรักษาฐานลูกค้าในยุโรป


