ยูเนสโกยก “ตาก–ระยอง–สตูล” เมืองการเรียนรู้ หนุนไทยก้าวหน้า
“นฤมล” เผยยูเนสโกรับรอง ตาก–ระยอง–สตูล เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ สะท้อนการศึกษาไทยก้าวหน้า เดินหน้ายกระดับนโยบายเรียนรู้ตลอดชีวิตสู่มาตรฐานสากล
KEY
POINTS
- องค์การยูเนสโกประกาศรับรองเทศบาลเมืองตาก, จังหวัดระยอง และจังหวัดสตูล เป็นสมาชิกใหม่ในเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้ระดับโลก
- ทั้ง 3 เมืองมีจุดเด่นในการส่งเสริมการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน โดยตากเน้นสร้างโอกาสทางการศึกษา, ระยองเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรม และสตูลส่งเสริมการเรียนรู้จากมรดกทางธรรมชาติและวัฒนธรรม
- การรับรองครั้งนี้สะท้อนความก้าวหน้าของไทยด้านนโยบายการเรียนรู้ตลอดชีวิต และเปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับเมืองสมาชิกทั่วโลก
เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2568 องค์การยูเนสโกได้ประกาศรับรอง เทศบาลเมืองตาก จังหวัดระยอง และจังหวัดสตูล เป็นสมาชิกใหม่ของเครือข่ายระดับโลกด้านเมืองแห่งการเรียนรู้ขององค์การยูเนสโก (UNESCO Global Network of Learning Cities – GNLC) ร่วมกับอีก 72 เมืองจาก 46 ประเทศทั่วโลก
ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า การประกาศขององค์การยูเนสโก สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยก้าวหน้าอีกขั้นในการขับเคลื่อนนโยบายการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และภาคีเครือข่ายในการยกระดับการศึกษาและการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นสำหรับประชาชนทุกช่วงวัย ทั้งการศึกษาในระบบและนอกระบบ ผ่านนโยบายและกลไกที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของสังคมในศตวรรษที่ 21 เมืองของไทย 3 แห่งที่ได้รับการรับรองให้เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ปีล่าสุด มีจุดเด่นดังนี้
1. เทศบาลเมืองตาก มุ่งพัฒนา “เมืองแห่งโอกาส” ผ่านการจัดการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับประชากรในเขตเมืองและพื้นที่ชายแดน
2. จังหวัดระยอง ขับเคลื่อนการเรียนรู้ร่วมกับภาคอุตสาหกรรม เทคโนโลยี และทรัพยากรท้องถิ่น เพื่อเตรียมความพร้อมแรงงานและเยาวชนในเขตเศรษฐกิจตะวันออก
และ 3. จังหวัดสตูล ส่งเสริมการเรียนรู้บนฐานมรดกทางธรรมชาติและวัฒนธรรม รวมถึงการพัฒนาทักษะด้านสิ่งแวดล้อม การท่องเที่ยว และอาชีพของชุมชน
อย่างไรก็ตาม การเข้าร่วมเครือข่ายของยูเนสโกจะช่วยให้เมืองของไทยได้รับองค์ความรู้ แหล่งเรียนรู้ และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศจากเมืองชั้นนำทั่วโลก รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ร่วมกับเครือข่ายนานาชาติ เพราะเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้เป็นพื้นที่ที่ทุกคนเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยยูเนสโกระบุว่า เมืองแห่งการเรียนรู้เป็นพื้นที่ที่ “การเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน” ไม่ว่าจะเป็นในโรงเรียน ที่ทำงาน ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ พื้นที่สาธารณะ หรือแม้แต่ในบ้านของประชาชนเอง เมืองเหล่านี้ทำหน้าที่สำคัญในการ เพิ่มทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับตลาดงานที่เปลี่ยนแปลง เปิดโอกาสด้านการเรียนรู้สำหรับผู้ใหญ่และผู้ขาดโอกาส เตรียมคนทุกวัยให้พร้อมรับเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ ตลอดจนส่งเสริมผู้ประกอบการและนวัตกรรมระดับท้องถิ่น
นางสเตฟาเนีย เจียนนีนี ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการศึกษาของยูเนสโก ระบุว่า เมืองใหม่ทั้ง 72 เมืองทั่วโลก กำลังกำหนดความหมายใหม่ให้กับการเรียนรู้ โดย “เปลี่ยนทุกถนนและทุกอาคารในเมือง ให้เป็นพื้นที่แห่งความรู้และโอกาส” ทั้งนี้ ในปี 2568 นับว่าเครือข่ายฯ ได้ขยายใหญ่ที่สุดในรอบปี มีสมาชิกกว่า 425 เมือง จาก 91 ประเทศ รองรับประชากรเกือบ 500 ล้านคนทั่วโลก
นอกจากนี้ ปีนี้ยังมีเมืองหลวง 11 แห่งได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก เช่น เช่น Porto-Novo Bissau Lusaka Cairo Riyadh Lisbon Ankara Ashgabat Hanoi Buenos Aires และ Caracas ขณะเดียวกันมีชาติสมาชิกใหม่อีก 12 ประเทศ ได้แก่ เบนิน บุรกินาฟาโซ ชิลี ไซปรัส กินี-บิสเซา อิรัก มองโกเลีย ไนเจอร์ เติร์กเมนิสถาน สหรัฐอเมริกา เวเนซุเอลา และแซมเบีย สำหรับประเทศไทย การมีเมืองสมาชิก ณ ปัจจุบันรวม 13 เมือง ในเครือข่ายยูเนสโกจะช่วยให้การขับเคลื่อนนโยบายการเรียนรู้ตลอดชีวิต มีพลังขับเคลื่อนที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น พร้อมต่อยอดไปสู่
การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ฐานชุมชน การสร้างความร่วมมือระหว่างเมืองไทยกับต่างประเทศ การจัดทำแผนนโยบายระดับจังหวัดที่เน้น “การเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อทุกคน” ตลอดจนการขับเคลื่อนเมืองไทยสู่เมืองแห่งการเรียนรู้ในระดับสากลอย่างยั่งยืน


