ไทย–กัมพูชาปะทะเดือดกลางเวทีออตตาวา ปมคลิปวางทุ่นระเบิด PMN-2
ไทยเปิดคลิปหลักฐานทหารกัมพูชาฝึกวางทุ่นระเบิด PMN-2 กลางที่ประชุมออตตาวา จุดชนวนปะทะเดือดสองฝ่าย ขณะที่ไทยขอสอบสวนอิสระ ส่วนกัมพูชาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
KEY
POINTS
- ไทยและกัมพูชาเกิดการปะทะทางการทูตอย่างรุนแรงในที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา จากกรณีที่ไทยกล่าวหากัมพูชาวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN-2 ตามแนวชายแดน ซึ่งทำให้ทหารไทยบาดเจ็บหลายนาย
- ฝ่ายไทยได้เปิดคลิปวิดีโอและภาพถ่ายที่ได้จากโทรศัพท์ของทหารกัมพูชาเป็นหลักฐานสำคัญกลางที่ประชุม โดยคลิปดังกล่าวแสดงภาพการฝึกอบรมบุคลากรกัมพูชาในการติดตั้งทุ่นระเบิด PMN-2 เพื่อหักล้างคำปฏิเสธของกัมพูชา
- ไทยได้ร้องขอให้มีการจัดตั้งคณะผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เป็นอิสระ
เหตุปะทะทางการทูตระหว่างไทย–กัมพูชาบนเวทีประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 22 สะท้อนความตึงเครียดเชิงโครงสร้างที่สั่งสมมานานตามแนวชายแดนสองประเทศ แต่ครั้งนี้ประเด็นได้ขยายเข้าสู่ระดับพหุภาคีอย่างเป็นทางการ เมื่อไทยขอใช้ “ข้อ 8” ของอนุสัญญาเพื่อให้สหประชาชาติตั้งคณะผู้ตรวจสอบอิสระ หลังเกิดเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดหลายครั้งจนมีผู้บาดเจ็บสูญเสียขา รวมถึงพบข้อพิรุธว่าทุ่นระเบิดเป็นชนิด PMN-2 ซึ่งเชื่อมโยงกับกัมพูชาโดยตรง ทั้งยังได้รับการยืนยันจากคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ว่าเป็น “ทุ่นระเบิดที่วางใหม่” ไม่ใช่ทุ่นเก่าจากยุคสงคราม
การเปิดคลิปวิดีโอและภาพถ่ายจากโทรศัพท์ของทหารกัมพูชาในที่ประชุม โดยฝ่ายผู้แทนไทย นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เนื่องจากไทยเลือกใช้หลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อหักล้างการปฏิเสธของกัมพูชา และวางน้ำหนักว่าปัญหานี้กระทบ “ความศักดิ์สิทธิ์ของอนุสัญญา” หากปล่อยให้ประเทศภาคีวางทุ่นระเบิดใหม่ได้โดยไม่ต้องรับผิดทางกลไกสากล ขณะเดียวกัน การยกระดับสู่ข้อ 8 วรรค 2 แสดงให้เห็นว่าไทยประเมินแล้วว่ากลไกทวิภาคีในช่วงที่ผ่านมาไม่สามารถคลี่คลายข้อเท็จจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพx
โดย นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวถ้อยแถลงในวาระการพิจารณาคำขอตามข้อ 8 ของอนุสัญญาออตตาวา ว่า เมื่ออนุสัญญานี้ถูกให้การรับรองในปี พ.ศ. 2540 รัฐภาคีได้ให้คำมั่นว่าจะ “ยุติความทุกข์ทรมานและการบาดเจ็บล้มตายที่เกิดจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล” โดยตั้งอยู่บนฉันทามติร่วมกันว่า ไม่มีประเทศที่เจริญแล้วประเทศใดสามารถอ้างเหตุผลเพื่อใช้อาวุธที่โจมตีแบบไม่เลือกหน้าเช่นนี้ได้ ประเทศไทยจึงยึดมั่นในหลักการเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง และนี่คือเหตุผลที่เราจำเป็นต้องหยิบยกประเด็นที่น่ากังวลขึ้นมาในที่ประชุมครั้งนี้
นายสีหศักดิ์ ระบุอีกว่า ประเทศไทยไม่มีความปรารถนาที่จะสร้างความตึงเครียด หรือ ทำให้ประเด็นนี้เป็นประเด็นทางการเมือง แต่ทหารของเราได้รับบาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า และตนมีหน้าที่ต้องพูดแทนประชาชนชาวไทย ผู้ซึ่งต้องอดทนต่อเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยภายใต้กรอบของอนุสัญญานี้ เพราะในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทหารไทย 7 นาย ต้องสูญเสียขาจากเหตุทุ่นระเบิดหลายครั้งตามแนวชายแดน ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้แก่ชุมชนในท้องถิ่น เราจึงได้เห็นหลักฐานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งยืนยันว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้ถูกวางใหม่โดยกัมพูชา
พร้อมย้ำว่า การประเมินที่เป็นอิสระ ซึ่งรวมถึงคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ยืนยันว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางไว้ใหม่ อีกทั้งเรายังมีหลักฐานเป็นวิดีโอที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการฝึกอบรมบุคลากรกัมพูชาในการติดตั้งทุ่นระเบิด PMN-2 ซึ่งเป็นทุ่นระเบิดประเภทที่กัมพูชามีอยู่ นี่จึงถือเป็นการละเมิดต่อข้อ 1 ของอนุสัญญาอย่างโจ่งแจ้งชัดเจน และเป็นการละเมิดหลักการด้านมนุษยธรรม ที่เรากำหนดให้เป็นหัวใจสำคัญของอนุสัญญานี้อย่างร้ายแรง
อย่างไรก็ดี ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยได้อ้างข้อ 8 วรรค 2 เพื่อขอให้กัมพูชาชี้แจง เพราะหลักการแห่งความน่าเชื่อถือของอนุสัญญานี้เรียกร้องให้เราต้องทำเช่นนั้น เราจึงได้ใช้กลไกทวิภาคีทุกช่องทางด้วยความสุจริตใจ เพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างสร้างสรรค์ แต่คำตอบของกัมพูชากลับขัดแย้งกับหลักฐานที่ได้รับการยืนยันและมีการตรวจสอบแล้ว อีกทั้งยังมาพร้อมกับแบบแผนของข้อมูลบิดเบือนที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งรูปแบบดังกล่าวยังคงเกิดขึ้น แม้กระทั่งหลังจากที่เราได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วม ( Joint declaration) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เพียงสองสัปดาห์ต่อมาก็เกิดเหตุทุ่นระเบิดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งบ่อนทำลายทั้งเจตนารมณ์และเนื้อหาของแถลงการณ์นั้น
จากนั้น ฝ่ายกัมพูชา นำโดย นาย ลี ธุช รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานคนที่ 1 ขององค์การกำจัดทุ่นระเบิดกัมพูชา ได้กล่าวโดยตั้งคำถามถึงสิ่งที่ระบุว่าเป็นข้อกล่าวหาที่ไทยไม่ได้มีการพิสูจน์ ส่งผลให้ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา กัมพูชาได้รับผลกระทบจากปฏิบัติการทางทหาร และเจอกับข้อกล่าวหาที่ไม่มีหลักฐาน รวมทั้งไม่มีการสอบสวนโดยคณะกรรมการที่เป็นอิสระ
นาย ลี ธุช กล่าวอีกว่า ความมุ่งมั่นร่วมกันของเราคือการรักษาชีวิตฟื้นฟูสันติภาพ และสร้างโลกที่ดีขึ้นให้กับคนรุ่นต่อไป แต่เป็นเรื่องน่าผิดหวังที่ประเทศไทยพยายามก้าวข้ามข้อ 8 วรรค 1 ที่ให้รัฐภาคีฯ หาทางออกจากปัญหาที่เกิดขึ้นไปสู่ข้อที่ 8 วรรค 2 การข้ามการดำเนินการดังกล่าวจึงสะท้อนให้เห็นว่าไม่ได้แสดงถึงความจริงใจ และไม่ให้ความร่วมมือ แต่เป็นการเผชิญหน้า ซึ่งจะทำให้เรื่องนี้ไม่สามารถแก้ไขได้โดยสันติวิธี กัมพูชาจึงรู้สึกเสียใจที่เรื่องนี้ถูกนำขึ้นมาสู่ที่ประชุมรัฐภาคี เพราะประเด็นดังกล่าวควรนำมาหารือในกรอบทวิภาคีและกลไกที่จัดตั้งขึ้นระหว่างสองประเทศ ทั้งที่ เวทีนี้ไม่ใช่เวทีสำหรับการเผชิญหน้าแต่เป็นเวทีสำหรับการหารือ ซึ่งรัฐภาคีจะใช้การเจรจากันอย่างสร้างสรรค์
นาย ลี ธุช กล่าวว่า กัมพูชาเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ดังนั้นเราจึงมีความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว และการมีบทบาทนำของเราก็เป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก ซึ่งตั้งแต่กัมพูชาได้เข้าร่วมรัฐภาคีก็ได้ดำเนินการเร่งกวาดล้างทุ่นระเบิด และให้การสนับสนุนประเทศอื่น จึงทำให้กัมพูชาได้รับการยอมรับไปทั่วโลก และไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงนี้ได้
ทั้งนี้ เราขอแสดงความเสียใจกับผู้ได้รับบาดเจ็บ แต่ความเสียใจนั้นไม่อาจทดแทนความจริงได้ กัมพูชาจะยืนหยัดปกป้องความน่าเชื่อถือของเรา พร้อมเรียกร้องให้มีกลไกการตรวจสอบอย่างครอบคลุมที่ยึดหลักฐานเป็นตัวตั้ง ดังนั้นเราต้องทำงานร่วมกันเพื่อยึดมั่นต่อการค้นหาความจริง และยึดมั่นต่อความร่วมมือภายใต้อนุสัญญาฯ จึงขอให้เราเลือกการหารืออย่างสร้างสรรค์แทนการเผชิญหน้า รวมทั้งรับประกันสันติภาพและความมั่นคงของเราในเวลานี้และสำหรับคนรุ่นหลังต่อไป อย่างไรก็ตาม ไทย-กัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านกันมาหลายร้อยปี และเราจะเป็นเพื่อนบ้านกันอีกหลายร้อยปีต่อไป บางครั้งครอบครัวยังแยกจากกันได้ แต่เพื่อนบ้านแยกจากกันไม่ได้ จึงขอให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง
หลังจากนั้น นางสาวอิชิกาวะ โทมิโกะ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรญี่ปุ่นประจำการประชุมด้านการลดอาวุธ ในฐานะประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 22 ได้เปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายชี้แจงคนละสองครั้ง
ทูตไทยเปิดวิดีโอการแสดงการใช้ทุ่นระเบิด PMN-2 ซึ่งเก็บได้จากกล้องโทรศัพท์ของทหารกัมพูชา
ด้าน นางสาวอุศณา พีรานนท์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา จึงได้ใช้สิทธิตอบโต้ครั้งแรก โดยได้เปิดวิดีโอการแสดงการใช้ทุ่นระเบิด PMN-2 ซึ่งเก็บได้จากกล้องโทรศัพท์ของทหารกัมพูชา รวมถึงเอกสาร AOT ของฝ่ายไทยที่ระบุว่าทุ่นระเบิดที่พบเป็นทุ่นระเบิดใหม่ แต่ฝ่ายกัมพูชาได้ประท้วง โดยอ้างว่าการตอบโต้ควรนำเสนอเพียงแค่คำพูดเท่านั้น ดังนั้นการกระทำของฝ่ายไทยจึงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม
อย่างไรก็ดี ประธานรัฐภาคี ระบุว่า ถึงแม้จะมีการจำกัดให้ใช้เพียงคำพูดในการตอบโต้ แต่ไม่ได้มีข้อจำกัดเนื้อหาที่ใช้สำหรับการตอบโต้ จึงขอให้ฝ่ายไทยชี้แจงต่อไป
โดย นางสาวอุศณา กล่าวว่า เนื่องจากกัมพูชายังคงปฏิเสธการละเมิดพันธกรณีตามอนุสัญญา และกล่าวหาว่าไทยนำกรณีที่ทหารไทย 7 นาย ที่สูญเสียขาจากการเหยียบทุ่นระเบิดที่ถูกวางขึ้นใหม่มาเป็นเรื่องการเมือง ไทยจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องแสดงบางส่วนของหลักฐานต่อที่ประชุมนี้
นางสาวอุศณา กล่าวว่า เนื่องจากกัมพูชายังคงปฏิเสธการละเมิดพันธกรณีตามอนุสัญญา และกล่าวหาว่าไทยนำกรณีที่ทหารไทย 7 นาย ที่สูญเสียขาจากการเหยียบทุ่นระเบิดที่ถูกวางขึ้นใหม่มาเป็นเรื่องการเมือง ไทยจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องแสดงบางส่วนของหลักฐานต่อที่ประชุมนี้
สไลด์ที่ 1 – ภาพทหารไทยกำลังเก็บโทรศัพท์มือถือจากพื้นที่เกิดเหตุ หลักฐานชิ้นนี้มาจากโทรศัพท์มือถือที่พบโดยเจ้าหน้าที่ทหารไทยเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 บริเวณพิกัด VA61437 96560 ในพื้นที่ฐานพลาญยาว จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เคยถูกกองทัพกัมพูชาครอบครองระหว่างเหตุความขัดแย้ง แต่ได้ถอนกำลังออกไปแล้ว
สไลด์ที่ 2 – วิดีโอคลิปเจ้าหน้าที่กัมพูชากำลังฝึกฝนการวางทุ่นระเบิด PMN-2 ในโทรศัพท์ดังกล่าว เราพบวิดีโอคลิปที่บันทึกไว้เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2568 แสดงให้เห็นทหารกัมพูชากำลังได้รับการฝึกฝนเกี่ยวกับการวางทุ่นระเบิด PMN-2 ไม่ใช่การเก็บกู้
สไลด์ที่ 3 – ภาพถ่ายเจ้าหน้าที่กัมพูชากำลังติดตั้งทุ่นระเบิด PMN-2 เรายังได้มาซึ่งภาพถ่ายที่บันทึกเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 เวลา 14.32 น. ซึ่งแสดงให้เห็นทหารกัมพูชากำลังวางทุ่นระเบิด PMN-2 ภาพเหล่านี้ได้มาผ่านแอปพลิเคชัน Telegram จากบัญชีของเจ้าของโทรศัพท์ การวิเคราะห์ทางนิติวิทยาศาสตร์ภายหลังพบว่า บุคคลหนึ่งในภาพเป็นทหารกัมพูชาที่เคยพบปะกับนายทหารไทยที่จุดนัดพบพลาญยาว
เราขอสงวนข้อมูลตัวตนทั้งหมดของเจ้าหน้าที่กัมพูชาเหล่านี้ในที่ประชุม ด้วยเหตุผลด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูล อย่างไรก็ตาม เราได้ส่งมอบข้อมูลและหลักฐานทั้งหมด ความยาวรวม 108 หน้า ต่อเลขาธิการสหประชาชาติเรียบร้อยแล้ว และเราขอเสริมด้วยว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มการโจมตีด้วยกำลังอาวุธต่อดินแดนไทยก่อน รวมถึงการใช้ปืนใหญ่หนัก เช่น จรวด BM-21 ในช่วงเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 และยังคงละเมิดข้อตกลงหยุดยิงระหว่างทั้งสองฝ่ายอย่างต่อเนื่อง
จากนั้น นาย ลี ปันหริธ เลขาธิการหน่วยปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและการช่วยเหลือเหยื่อแห่งกัมพูชา หรือ C.M.A.A. ได้ใช้สิทธิกล่าวตอบโต้ไทยรอบแรก ว่า กัมพูชายืนยันความพร้อมในการเข้าร่วมการสอบสวนรวมถึงการพิสูจน์หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เพราะกัมพูชาไม่มีอะไรต้องปิดบัง อย่างไรก็ตาม กัมพูชาเสียใจที่ไทยหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา โดยนำเสนอเอกสารและสิ่งที่ระบุว่าเป็นหลักฐานต่างๆ โดยไม่ได้มีการพูดคุย หรือ ปรึกษาหารือกันก่อน ซึ่งบ่อนทำลายจิตวิญญาณความร่วมมือภายใต้อนุสัญญา แทนที่จะมีการทำงานร่วมกับคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน หรือ มีการตรวจสอบโดยผู้ตรวจสอบอิสระ
เลขาธิการ C.M.A.A. กล่าวอีกว่า ประการแรกกัมพูชายังไม่ได้รับรายงานจาก AOT และตั้งตารอที่จะได้รับรายงานดังกล่าว ซึ่งเรื่องนี้ถือว่ามีความสำคัญ และจำเป็นต้องมีการรับข้อมูลจากฝ่ายกัมพูชาด้วย เพราะจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่น ทำให้เกิดความสมดุล
ประการที่สอง มี AOT สองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งปฏิบัติการในกัมพูชา และอีกกลุ่มปฏิบัติการในไทย แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีการปฏิบัติการร่วมกันระหว่าง AOT ทั้งสองกลุ่มดังกล่าว
ประการที่สาม ไม่เคยมีการสอบสวนโดยคณะผู้เชี่ยวชาญที่เป็นอิสระ ที่ทำให้เราสามารถเชื่อมั่นในผลการตรวจสอบได้ ขณะเดียวกันการสอบสวนของไทยก็ทำขึ้นฝ่ายเดียว โดยไม่มีผู้เชี่ยวชาญ หรือ AOT เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งห่างไกลจากมาตรฐานที่บอกว่ามีความเป็นอิสระ
ดังนั้นกัมพูชาจึงขอเรียกร้องให้มีการตั้งทีมสอบสวนขึ้นทันที เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลทั้งจากกัมพูชาและไทย และจาก AOT ของทั้งสองประเทศ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานของการสอบสวนระหว่างประเทศอย่างที่ควรจะเป็น
ต่อจากนั้น นางสาวอุศณา ได้ใช้สิทธิตอบโต้เป็นครั้งที่สอง โดยกล่าวว่า ประเด็นที่คณะผู้แทนกัมพูชาเพิ่งหยิบยกขึ้นมา คือเหตุผลที่ว่าทำไมประเทศไทยจึงได้เสนอให้มีการใช้อำนาจของเลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อจัดตั้งคณะผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เป็นอิสระ หากกัมพูชาดำเนินการด้วยความสุจริตใจ และมีความโปร่งใสเพียงพอ ก็ควรเห็นด้วยกับข้อเสนอของเรา ซึ่งมีจุดประสงค์เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คือการพิสูจน์ “ข้อเท็จจริง” ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เหล่านั้น
ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ดำเนินการอย่างโปร่งใสตลอดกระบวนการภายใต้ข้อ 8 เราได้อำนวยความสะดวกให้บุคคลที่สาม รวมถึงองค์กรรณรงค์ระหว่างประเทศเพื่อห้ามทุ่นระเบิด (ICBL) และคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนประจำประเทศไทย เข้าตรวจเยี่ยมพื้นที่เกิดเหตุ
คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน ซึ่งจัดตั้งขึ้นภายใต้กลไกทวิภาคีตามที่ไทยและกัมพูชาตกลงร่วมกัน โดยมีทูตทหารของมาเลเซียดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะ และมีผู้แทนจากสิงคโปร์และบรูไน เข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ ซึ่งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนได้ดำเนินกระบวนการตรวจพิสูจน์ และได้สรุปไว้ในรายงานว่า “ภารกิจครั้งนี้คือการตรวจพิสูจน์ว่าทุ่นระเบิดที่ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บนั้นเป็นทุ่นระเบิดที่เพิ่งวางใหม่ หรือ เป็นทุ่นระเบิดที่ถูกวางไว้ในอดีตตามที่กองทัพกัมพูชา (RCA) กล่าวอ้าง จากการสังเกตการณ์และการรับฟังการบรรยายตลอดช่วงความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา สรุปได้ว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ล้วนเป็นทุ่นระเบิดที่ถูกวางใหม่ทั้งหมด”
ต่อจากนั้น นายดารา อิน เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรกัมพูชาประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ได้ใช้สิทธิตอบโต้ไทยเป็นครั้งที่สอง ว่า กัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าได้วางทุ่นระเบิดใหม่พร้อมโต้แย้งว่าหลักฐานที่ไทยยื่นมาไม่ได้รับการสนับสนุนด้วยข้อมูลทางนิติวิทยาศาสตร์ การตรวจสอบเชิงประจักษ์ หรือ การตรวจสอบโดยอิสระ ดังนั้นจึงขาดความเป็นกลาง
การกล่าวหาของไทยบั่นทอนเจตนารมณ์ของความร่วมมือระหว่างสองประเทศ การนำเสนอหลักฐานดังกล่าวดูเหมือนเป็นการคำนวณอย่างรอบคอบ โดยมีเจตนาเพื่อที่จะทำให้ข้อตกลงที่มีสหรัฐฯและมาเลเซียเป็นผู้ไกล่เกลี่ยเกิดความล่าช้า
ในสงครามที่ขยายตัวขึ้นครั้งนี้กัมพูชาไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุให้สงครามยืดเยื้อแต่เราเลือกที่จะอดทนอดกลั้นเพราะสิ่งที่เราเชื่อมั่นคือสันติภาพและเชื่อว่าสันติภาพคือสิ่งที่เราต้องธำรงรักษาไว้
อย่างไรก็ดี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ท้ายที่สุดแล้วนายดารา ไม่สามารถกล่าวถ้อยแถลงได้จนจบตามที่เตรียมมาได้ เนื่องจากพูดเกินเวลา 2 นาทีที่ได้รับอนุญาตทำให้ประธานในที่ประชุมปิดไมค์
บทวิเคราะห์
กรณีนี้สะท้อนถึง “ความเปราะบางของข้อตกลงระหว่างประเทศ” แม้มีอนุสัญญาที่สองฝ่ายให้สัตยาบันแล้ว แต่ข้อโต้แย้งด้านข้อเท็จจริง ว่าทุ่นถูกวางใหม่หรือเป็นของเก่า ยังสามารถกลายเป็นประเด็นบาดหมางได้ โดยเฉพาะเมื่อมีผู้บาดเจ็บจริงจากเหตุการณ์ทุ่นระเบิด
การที่ไทยเลือกเปิดคลิปหลักฐานต่อเวทีระหว่างประเทศ ถือเป็นยุทธศาสตร์ที่เน้นความโปร่งใส และพยายามใช้แรงกดดันทางนานาชาติ เพื่อให้ข้อร้องเรียนได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง แทนที่จะปล่อยให้ปัญหาอยู่ในระดับทวิภาคีซึ่งอาจ “มองข้าม” ได้ง่ายกว่า
แต่ในทางกลับกัน ฝ่ายกัมพูชาก็มีข้อกังวลเรื่องความยุติธรรม ถ้าหลักฐานไม่ผ่านการตรวจสอบอิสระ ผลอาจถูกมองว่า “ตัดสินฝ่ายเดียว” แบบไม่เป็นธรรม ซึ่งอาจบ่อนทำลายความเชื่อมั่นระหว่างประเทศ และลดโอกาสแก้ปัญหาโดยสันติ
ท้ายที่สุดแล้ว จุดที่จะคลี่คลายปมนี้ได้จริง น่าจะอยู่ที่ “การสืบสวนอิสระ” ภายใต้กรอบระหว่างประเทศที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับ และมีตรวจสอบโดยบุคคลที่เป็นกลางเท่านั้น ถ้าขั้นตอนนี้มีความโปร่งใส มีการตรวจสอบอย่างรอบด้าน ข้อมูลชัดเจน ก็อาจเป็นบรรทัดฐานใหม่ให้กับเรื่องทุ่นระเบิดในภูมิภาค


