posttoday

ไทยผนึกกำลัง 5 ชาติ รวมพลังปราบสแกมเมอร์ พร้อมชู 3 มาตราการด่วน

15 พฤศจิกายน 2568

6 ชาติลุ่มน้ำโขงประชุมรัฐมนตรี ณ คุนหมิง บรรลุ 21 ข้อตกลงความร่วมมือ เพื่อยกระดับการกวาดล้างแก๊งสแกมเมอร์ข้ามชาติให้สิ้นซาก

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ได้มีการประชุมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยความร่วมมือในการปราบปรามการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและออนไลน์ ณ นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน

 

การประชุมนี้มีผู้แทนจาก 6 ประเทศเข้าร่วม ได้แก่ จีน, กัมพูชา, ลาว, เมียนมา, ไทย และเวียดนาม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารือถึงสถานการณ์การหลอกลวงข้ามชาติและโทรคมนาคมออนไลน์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางสังคม และสิทธิประโยชน์ของประชาชนในทุกประเทศ ที่ประชุมได้บรรลุฉันทามติร่วมกันในการยกระดับความร่วมมือเชิงปฏิบัติการอย่างเป็นรูปธรรม

 

จุดยืนและถ้อยแถลงของไทย

 

พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ได้กล่าวถ้อยแถลงในนามฝ่ายไทย ชี้ว่าปัญหา “สแกมเซ็นเตอร์” ในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ไม่ใช่เพียงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี แต่เป็น “เครือข่ายอาชญากรรมข้ามพรมแดน” ที่ทำร้ายประชาชนทุกประเทศ

 

ไทยย้ำว่า แม้จะเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ก็ไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบของตนเอง และจะดำเนินการอย่างจริงจังและรวดเร็ว โดยให้ทุกประเทศสามารถติดตามตรวจสอบได้ และคาดหวังว่าทุกประเทศจะปฏิบัติต่างตอบแทนเช่นเดียวกัน

 

ผลการสืบสวนเชิงลึกของไทย (ACSC)

พล.ต.ท.จิรภพ ได้นำเสนอผลการสืบสวนเชิงลึกของศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (Anti-Cyber Scam Center: ACSC) ซึ่งบูรณาการข้อมูลจากธนาคาร, ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และหน่วยข่าวกรองทางเทคนิค พบว่า

 

1.เส้นทางการเงินจาก บัญชีม้า (Mule Accounts) ส่วนใหญ่ถูกโอนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

 

2.ที่อยู่ IP และสัญญาณเทคนิคจำนวนมาก ชี้ไปยังพื้นที่นอกประเทศไทย

 

3.ศูนย์สแกมจำนวนมากตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนและเขตเศรษฐกิจของบางประเทศในภูมิภาค (ไทยได้ส่งมอบข้อมูลนี้ให้ประเทศที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นทางการแล้ว)

 

3 มาตรการเร่งด่วนที่ไทยเสนอ

 

ไทยได้เน้นย้ำถึงความต้องการความร่วมมือแบบตรงไปตรงมาและเป็นรูปธรรมจากทุกฝ่าย โดยได้เสนอ 3 มาตรการเร่งด่วนระดับภูมิภาค ดังนี้

 

1.ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูล Real-time

 

- จัดทำฐานข้อมูลกลางของบัญชีม้า, หมายเลขโทรศัพท์ และ IP ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรม

 

- ใช้ระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ เพื่อให้ทุกประเทศสามารถ “บล็อก–อายัด–ตรวจสอบ” ได้พร้อมกัน

 

2.แต่งตั้งผู้ประสานงานไซเบอร์ประจำการ (Cyber Liaison Officer)

 

- ให้แต่ละประเทศส่งเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายไปประจำการในประเทศที่เป็นฐานปฏิบัติการสำคัญ

 

- ทำหน้าที่เป็น “สายตรง” เพื่อให้การขอข้อมูลและการปฏิบัติการร่วมเกิดขึ้น “ภายในวันเดียว”

 

3.กำหนดมาตรการร่วมควบคุมโทรคมนาคม

 

- เข้มงวดการลงทะเบียนซิมการ์ดด้วยระบบยืนยันตัวตน (รวมถึง Face Recognition)

 

- จำกัดจำนวนซิมต่อบุคคล และติดตามซิมต้องสงสัย

 

- หากพบพื้นที่มีการใช้สัญญาณเพื่อหลอกลวงในวงกว้าง ให้ร่วมกันพิจารณาการตัดสัญญาณชั่วคราวจนกว่าจะตรวจสอบแล้วเสร็จ

 

ข้อสรุปความร่วมมือ 21 ข้อ จากที่ประชุม 6 ประเทศ

 

ที่ประชุมรัฐมนตรีทั้ง 6 ประเทศ มีข้อสรุปความร่วมมือที่สำคัญ 21 ข้อ ดังนี้

 

1.ปฏิบัติการร่วมกวาดล้าง “สวนสแกม–เขตพนัน–ศูนย์หลอกลวง” อย่างครบวงจร

 

2.จัดปฏิบัติการร่วม (Joint Operations) ล้อมปราบเขต/นิคม ที่เป็นฐานพนันออนไลน์และศูนย์หลอกลวง

 

3.จับกุมผู้ต้องสงสัยร่วมกัน ประสานการสอบสวน และแลกเปลี่ยนพยานหลักฐาน

 

4.ส่งตัวผู้ต้องหา (repatriation/extradition) กลับประเทศที่ต้องการตัว แบบครบถ้วน

 

5.อายัด–ยึด–ติดตามทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับคดี เพื่อนำส่งคืนผู้เสียหาย

 

6.จัดตั้งกลไกประชุมอย่างเป็นทางการ 6 ฝ่าย (ระดับรัฐมนตรี และระดับกรม/สำนักงาน)

 

7.จัดตั้ง “กลไกระดับรัฐมนตรี 6 ฝ่าย ว่าด้วยการร่วมกันปราบปรามอาชญากรรมฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและออนไลน์”

 

8.จัดประชุมประจำปีโดยหมุนเวียนเป็นเจ้าภาพ เพื่อรายงานความคืบหน้าและกำหนดแผนปฏิบัติการ

 

9.จัดประชุมระดับกรม/สำนักงาน (working-level) เป็นประจำ เพื่อแปลงนโยบายสู่การปฏิบัติ

 

10.พัฒนาระบบประสานงานคดี–ข่าวกรองข้ามแดนร่วมกัน

 

11.จัดทำและปรับปรุงช่องทางแลกเปลี่ยนข่าวกรอง (แพลตฟอร์ม, Call Center, เว็บไซต์, บัญชีม้า, สกุลเงินดิจิทัล)

 

12.กำหนดมาตรฐานร่วมด้านการสืบสวนสอบสวนดิจิทัล

 

13.สนับสนุนการติดตามเส้นทางเงินและข้อมูล (fund & data flow) เพื่อเชื่อมคดีข้ามประเทศ

 

14.ขยายความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศ, ภาคประชาสังคม และบริษัทเทคโนโลยี

 

15.สนับสนุนปฏิบัติการร่วมระดับภูมิภาค (regional joint operations) อย่างต่อเนื่อง

 

16.แลกเปลี่ยนกรณีศึกษาและแนวทางกำกับดูแล (แพลตฟอร์ม, ผู้ให้บริการโทรคมนาคม, ระบบชำระเงิน, Crypto Exchange)

 

17.เชิญชวน NGO และบริษัทเทคโนโลยี ร่วมมือแชร์ข้อมูล, ปิดกั้น, วิจัย, พัฒนาเทคโนโลยี (AI, Big Data ฯลฯ) และรณรงค์ป้องกันเหยื่อ

 

18.ยืนยันกรอบยุทธศาสตร์ร่วมภายใต้ความร่วมมือแม่โขง–ล้านช้าง (MLC) และหลักนิติธรรม

 

19.ทุกประเทศจะใช้กฎหมายภายในอย่างเต็มที่ และไม่ปล่อยให้มี “Safe Haven” ของแก๊งสแกมเมอร์

 

20.ยึดกรอบ Global Security Initiative, Global Governance Initiative และ MLC

 

21.เน้นหลักความโปร่งใส, หลักนิติธรรม และผลประโยชน์ร่วมกัน

 

ความมุ่งมั่นเพิ่มเติมของไทยและปฏิกิริยาจากที่ประชุม

 

นายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะ (จีน) ได้กล่าวชื่นชมประเทศไทยในมาตรการและความชัดเจนจริงใจในการปราบปรามสแกมเมอร์

 

ที่ประชุมยังได้ทบทวนปฏิบัติการร่วมที่ผ่านมา เช่น

 

- กลไกไตรภาคี จีน–เมียนมา–ไทย (ปราบปรามพนันและสแกมชายแดนเมียนมา)

 

- ปฏิบัติการร่วม จีน–ลาว (เขตพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ)

 

- ความร่วมมือ จีน–กัมพูชา–เวียดนาม (จับกุมและส่งตัวผู้ต้องสงสัย)

 

คำมั่นและข้อเสนอเพิ่มเติมของไทย

 

พล.ต.ท.จิรภพ ยืนยันความพร้อมของไทยที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกกับประเทศที่ร่วมมือจริงจัง โดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญ และได้เน้นย้ำว่า:

 

- ไม่มีที่ยืนสำหรับสแกมเซ็นเตอร์ในไทย "ประเทศไทยจะไม่ยอมให้สแกมเซ็นเตอร์มีที่ยืนในประเทศ ทุกเบาะแสที่ได้รับจะถูกดำเนินการอย่างเด็ดขาดโดยไม่ละเว้นผู้ใด"

 

- อาชญากรรมไร้พรมแดน อาชญากรรมไม่มีพรมแดน ดังนั้น การปราบปรามก็ต้องไม่มีพรมแดนเช่นกัน

 

- กลไกการทำงานที่โปร่งใส ไทยยืนยันว่าไม่มีฐานคอลเซ็นเตอร์ หากได้รับแจ้งเบาะแส ทีมงานจะแจ้งศูนย์ ACSC ตรวจสอบและเข้าจับกุมทันที พร้อมรายงานผลให้ประเทศต้นทางทราบทุกกรณี และ ขอให้ทุกประเทศแสดงความจริงใจ ดำเนินการให้เช่นเดียวกัน

 

- ตัวอย่างการดำเนินการ อ้างถึงเหตุการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา ที่พบกลุ่มสแกมเมอร์ 1,598 คน (28 สัญชาติ) ทางการไทยได้คัดแยกเหยื่อและประสานส่งกลับ ขณะเดียวกัน ไทยก็ต้องการคนไทยที่ไปร่วมแก๊งในประเทศเพื่อนบ้านกลับมาเช่นกัน

 

- ข้อเสนอปิดท้าย (Joint Task Force) เสนอให้ปราบที่ต้นตอ (ไม่ให้ใครเป็นที่พักพิง) และจัดตั้งทีมปฏิบัติการร่วม (Joint Task Force) โดยใช้ข้อมูล Real-time จาก ACSC ตั้งเป้าตอบสนองเบาะแสสำคัญภายใน 24 ชั่วโมง

 

- ความรับผิดชอบร่วมกัน: เสนอให้มีกลไกความโปร่งใส (Transparency & Accountability) โดยทุกกรณีที่มีการแจ้งเบาะแสระหว่างประเทศ ต้องมีการรายงานความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอ

 

- สุดท้าย ไทยยืนยันความมุ่งมั่นในฐานะ "หุ้นส่วนที่รับผิดชอบ" พร้อมทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกประเทศ และผลักดันศูนย์ ACSC ให้เป็นศูนย์กลางประสานงานระดับภูมิภาค เพื่อให้การปฏิบัติการร่วมของ 6 ประเทศเป็นรูปธรรม รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

ข่าวล่าสุด

SMEs ไทย อนาคตยั่งยืน ผ่านโครงการ SIP 2025 เปลี่ยนแนวคิดสู่การลงมือ