posttoday

สหรัฐฯ คว่ำบาตรกลุ่มติดอาวุธ DKBA ในเมียนมาและบุคคลสัญชาติไทยพันสแกมเมอร์

13 พฤศจิกายน 2568

สหรัฐ คว่ำบาตรกลุ่มติดอาวุธ DKBA ในเมียนมาและบุคคลสัญชาติไทย พัวพันขบวนการสแกมเมอร์-ฟอกเงินข้ามชาติ ตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจ "Scam Center Strike Force" พุ่งเป้า เมียนมา กัมพูชา และลาว

กระทรวงการคลังสหรัฐฯ โดยสำนักงานควบคุมทรัพย์สินของคนต่างด้าว (OFAC) ได้ประกาศมาตรการคว่ำบาตรต่อกลุ่มติดอาวุธในเมียนมา, บริษัท และบุคคลหลายราย ซึ่งพุ่งเป้าโดยตรงมาถึงบุคคลสัญชาติไทยและบริษัทที่จดทะเบียนในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก การดำเนินการครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการปราบปรามเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมุ่งเป้าหลอกลวงพลเมืองอเมริกัน สร้างความเสียหายมูลค่ามหาศาล และมีส่วนพัวพันกับการค้ามนุษย์เพื่อบังคับใช้แรงงานในศูนย์ปฏิบัติการหลอกลวงเหล่านี้

 

เปิดรายชื่อองค์กรและบุคคลสำคัญ

 

การระบุตัวตนกลุ่มบุคคลและองค์กรที่อยู่เบื้องหลังเครือข่ายอาชญากรรม ช่วยให้เห็นภาพความเชื่อมโยงที่ซับซ้อนระหว่างกลุ่มติดอาวุธในเมียนมา, องค์กรอาชญากรรมจากจีน และบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย ซึ่งทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนและฟอกเงินจากกิจกรรมผิดกฎหมาย โดยรายชื่อผู้ที่ถูกขึ้นบัญชีดำโดย OFAC มีดังนี้

 

 กลุ่มติดอาวุธ       

Democratic Karen Benevolent Army (DKBA): กองกำลังติดอาวุธในเมียนมาที่ให้การสนับสนุนและคุ้มครองศูนย์สแกมเมอร์ รวมถึงมีส่วนร่วมในการใช้ความรุนแรงต่อเหยื่อค้ามนุษย์

 

บริษัท     

Trans Asia International Holding Group Thailand Company Limited (Trans Asia): บริษัทสัญชาติไทย ตั้งอยู่ในอำเภอแม่สอด ทำหน้าที่เป็นบริษัทบังหน้าให้กับองค์กรอาชญากรรมจากจีนในการลงทุนสร้างศูนย์สแกมเมอร์

 

Troth Star Company Limited (Troth Star): บริษัทในเมียนมาที่ร่วมมือกับ Trans Asia ในการพัฒนาศูนย์สแกมเมอร์

ภาพเมืองชเวก๊กโก ตรงข้าม อ.แม่สอด หนึ่งในศุนย์กลางแก๊งสแกมเมอร์ของเมียนมา ตอนกลางคืน

บุคคลสำคัญ (DKBA)         

                Sai Kyaw Hla: นายพลจัตวาและผู้นำระดับสูงของ DKBA เป็นผู้ก่อตั้งศูนย์สแกมเมอร์ "Tai Chang"

                Saw Steel: ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของ DKBA

                Saw Sein Win: นายทหารฝ่ายธุรการ (Adjutant General) ของ DKBA

                Saw San Aung: เสนาธิการของ DKBA

ภาพจากผู้ใช้งาน X บัญชี @NadikhinBR

บุคคลสำคัญ (สัญชาติไทย) นายจะมู สว่าง (Chamu Sawang): หรือที่รู้จักในชื่อ Yu Jianjun เป็นบุคคลสัญชาติไทยและดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการของบริษัท Trans Asia

 

การกระทำของกลุ่มบุคคลและองค์กรเหล่านี้ได้ถักทอเครือข่ายอาชญากรรมที่ซับซ้อนและทรงอิทธิพล ซึ่งมีรูปแบบการก่อเหตุที่สร้างความเสียหายอย่างมหาศาลและเกี่ยวพันกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง

 รูปแบบอาชญากรรม จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์สู่การค้ามนุษย์

 

จากข้อมูลล่าสุดของรัฐบาลสหรัฐฯ ประเมินว่าพลเมืองอเมริกันสูญเสียเงินจากขบวนการสแกมเมอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปแล้วอย่างน้อย 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีล่าสุด ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 66% จากปีก่อนหน้า ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องมีมาตรการขั้นเด็ดขาดเพื่อหยุดยั้งเครือข่ายเหล่านี้

 

กลไกการหลอกลวงของแก๊งสแกมเมอร์ในภูมิภาคนี้มีรูปแบบที่ซับซ้อนและโหดร้าย โดยมีขั้นตอนหลักดังนี้:

 

* วิธีการเข้าหาเหยื่อ: อาชญากรจะเริ่มต้นด้วยการสร้างความสัมพันธ์เชิงชู้สาวหรือมิตรภาพผ่านแอปพลิเคชันส่งข้อความ เพื่อสร้างความไว้วางใจและความสนิทสนมกับเหยื่อ

* รูปแบบการหลอกลวง: เมื่อเหยื่อไว้วางใจแล้ว สแกมเมอร์จะชักจูงให้ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มหรือเว็บไซต์ปลอมที่สร้างขึ้นมาให้ดูน่าเชื่อถือ แต่ในความเป็นจริงแล้วถูกควบคุมโดยกลุ่มอาชญากรทั้งหมด เพื่อขโมยเงินทุนของเหยื่อในท้ายที่สุด

* การบังคับใช้แรงงาน: เบื้องหลังปฏิบัติการเหล่านี้คือการค้ามนุษย์อย่างเป็นระบบ กลุ่มอาชญากรจะล่อลวงผู้คนจากหลากหลายประเทศให้มาทำงาน โดยอ้างว่าเป็นงานที่มีรายได้ดี แต่เมื่อเดินทางมาถึงกลับถูกบังคับให้ทำงานในศูนย์สแกมเมอร์ โดยใช้หนี้สิน, การทำร้ายร่างกาย, การช็อตไฟฟ้า และการข่มขู่เพื่อบังคับให้หลอกลวงเหยื่อชาวอเมริกันต่อไป

 

กลุ่มติดอาวุธ DKBA มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและมีส่วนร่วมโดยตรงกับขบวนการนี้ โดยให้ความคุ้มครองพื้นที่ตั้งของศูนย์สแกมเมอร์ เช่น ที่ตั้ง Tai Chang ในรัฐกะเหรี่ยง และยังถูกบันทึกภาพขณะใช้ความรุนแรงกับเหยื่อค้ามนุษย์ที่ถูกบังคับให้ทำงานในศูนย์ดังกล่าว รายได้มหาศาลจากศูนย์สแกมเมอร์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงกำไร แต่ยังถูกใช้เป็นท่อน้ำเลี้ยงให้ DKBA สามารถขยายกิจกรรมผิดกฎหมายอื่นๆ ร่วมกับองค์กรอาชญากรรมจีน ทั้งการค้ายาเสพติด ค้ามนุษย์ และค้าอาวุธ เครือข่ายนี้ไม่เพียงจำกัดอยู่ในเมียนมา แต่ยังมีความเชื่อมโยงโดยตรงมาถึงประเทศไทย ซึ่งเป็นฐานสำคัญในการดำเนินงานของบริษัทบังหน้า

สหรัฐฯ คว่ำบาตรกลุ่มติดอาวุธ DKBA ในเมียนมาและบุคคลสัญชาติไทยพันสแกมเมอร์

เจาะลึกความเชื่อมโยงในไทย

 

ประเด็นสำคัญที่น่าจับตามองสำหรับประเทศไทยคือการที่มาตรการคว่ำบาตรครั้งนี้ไม่ได้จำกัดวงอยู่แค่ในเมียนมา แต่ได้ขยายผลมาถึงนิติบุคคลและบุคคลสัญชาติไทยด้วย ซึ่งชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยถูกใช้เป็นฐานในการสนับสนุนเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ

 

บริษัท Trans Asia International Holding Group Thailand Company Limited ซึ่งมีที่ตั้งในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ถูกระบุว่าทำหน้าที่เป็น "บริษัทบังหน้า" (front company) ให้กับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติจากจีนในการลงทุนสร้างศูนย์สแกมเมอร์ขนาดใหญ่หลายแห่งในเมียนมา รวมถึง Huanya และ KK Park ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งกักขังและบังคับใช้แรงงานเหยื่อค้ามนุษย์

 

นอกจากนี้ นายจะมู สว่าง (Chamu Sawang) หรือที่รู้จักในอีกชื่อว่า Yu Jianjun ซึ่งเป็นบุคคลสัญชาติไทยและดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการของ Trans Asia ก็ถูกขึ้นบัญชีคว่ำบาตรโดยตรงในฐานะผู้นำขององค์กรที่มีส่วนสนับสนุนกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย

ภาพเมืองชเวก๊กโก ตรงข้าม อ.แม่สอด หนึ่งในศูนย์กลางสแกมเมอร์ในเมียนมา

 

ยุทธศาสตร์ปราบปรามข้ามหน่วยงาน ของสหรัฐฯ 

 

เพื่อยกระดับการปราบปรามอย่างจริงจัง การดำเนินการครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือของหลายหน่วยงานสำคัญ ได้แก่:

 

* สำนักงานสอบสวนกลาง (FBI)

* กระทรวงยุติธรรม (Department of Justice)

* หน่วยสืบราชการลับ (U.S. Secret Service)

* สำนักงานปราบปรามยาเสพติด (DEA)

 

นอกจากนี้ ยังมีการประกาศจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจ "Scam Center Strike Force" ซึ่งมอบหมายให้เจ้าหน้าที่และอัยการจากหน่วยงานต่างๆ ร่วมกันสืบสวน, ขัดขวาง และดำเนินคดีกับศูนย์สแกมเมอร์และผู้นำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยพุ่งเป้าไปที่เมียนมา กัมพูชา และลาวเป็นหลัก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการยกระดับการปราบปรามอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

 

มาตรการคว่ำบาตรกับผลกระทบ

 

การถูกขึ้นบัญชีคว่ำบาตรโดย OFAC จะส่งผลกระทบทางกฎหมายและเศรษฐกิจอย่างรุนแรงต่อบุคคลและองค์กรที่ถูกระบุชื่อ เพื่อตัดท่อน้ำเลี้ยงและจำกัดความสามารถในการดำเนินกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย โดยผลกระทบหลักที่จะเกิดขึ้นทันที มีดังนี้:

 

* การอายัดทรัพย์สิน: ทรัพย์สินและผลประโยชน์ทั้งหมดที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา หรือที่อยู่ในความครอบครองของบุคคลสัญชาติสหรัฐฯ จะถูกบล็อกและต้องรายงานต่อ OFAC

* การห้ามทำธุรกรรม: ห้ามบุคคลหรือนิติบุคคลสัญชาติสหรัฐฯ ทำธุรกรรมทางการเงินหรือการค้าใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของผู้ที่ถูกคว่ำบาตร

* ความเสี่ยงของสถาบันการเงิน: สถาบันการเงินหรือบุคคลอื่นใดที่ทำธุรกรรมกับผู้ที่ถูกคว่ำบาตร อาจเผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกมาตรการลงโทษไปด้วย ซึ่งจะทำให้ผู้ถูกคว่ำบาตรถูกตัดขาดจากระบบการเงินโลก

 

การดำเนินการของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า การกระทำที่มุ่งเป้ามายังพลเมืองอเมริกันและพัวพันกับการค้ามนุษย์จะไม่ถูกปล่อยปละละเลย การที่สหรัฐฯ ชี้เป้ามายังบุคคลและนิติบุคคลในดินแดนไทยโดยตรงเช่นนี้ไม่เพียงแต่เป็นการส่งสัญญาณเตือน แต่ยังสร้างแรงกดดันให้หน่วยงานไทยต้องยกระดับการตรวจสอบและปราบปรามเครือข่ายที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านหรือฐานที่มั่นในการฟอกเงินและสนับสนุนองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติอย่างจริงจังยิ่งขึ้น

ข่าวล่าสุด

ปภ.เผยน้ำท่วมใต้เหลือ 4 จังหวัด เร่งฟื้นฟู–เยียวยาต่อเนื่อง