"บิ๊กโจ๊ก" ลั่น "บิ๊กต่าย" เลือกปฏิบัติ แฉเส้นเงิน "ตำรวจเทา"
"บิ๊กโจ๊ก" ยัน ถูกตั้งวินัยไม่เป็นธรรมลั่น "บิ๊กต่าย" เลือกปฏิบัติ แฉเส้นเงินเว็บพนันเอี่ยวนายตำรวจใหญ่ ย้ำ! รักองค์กร ต้องปราบคนที่ทำให้เสื่อมเสีย
พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะกรรมาธิการความมั่นคงฯว่า นอกจากการให้ข้อมูลต่อกมธ. แล้ว ตนเองยังได้ยื่นเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องเส้นเงินการรับผลประโยชน์จากเว็บพนันของตำรวจประมาณ 30 กว่าคน เพิ่มเติมจากที่ก่อนหน้านี้ กพค.ตร. (คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่พิทักษ์และคุ้มครองระบบคุณธรรมของข้าราชการตำรวจ) เคยชี้มูลไปแล้ว
ซึ่งเอกสารชิ้นนี้เมื่อวานตนเองถูกพลตำรวจเอก วินัย ทองสอง นายกสมาคมตำรวจ ตำหนิว่าเหตุใดมีข้อมูลแล้วจึงไม่นำมาให้ จึงขอชี้แจงผ่านสื่อฝากไปยังพลตำรวจเอก วินัย ว่าข้อมูลเรื่องนี้ตนเองเคยมีหนังสือไปถึงพลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2567 แล้ว
พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า ตนเองยังได้นำเอกสารเส้นเงินเว็บพนันที่จ่ายไปยังชุด PTC เป็นชุดทำงานที่ถูกแต่งตั้งมาเพื่อปราบปรามเว็บพนัน ซึ่งพลตำรวจโท ไตรรงค์ ผิวพรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ อยู่ในชุดทำงานนี้ด้วย และจะไปเกี่ยวพันกับ สส. ช. เพราะเป็นเส้นเงินที่เชื่อมโยงกันยืนยันว่าสิ่งที่ตนเองยื่นไป
โดยเฉพาะเรื่องเส้นเงิน ตนเองให้ความยุติธรรม ซึ่งไม่เชื่อว่าบุคคลเหล่านั้นจะรับเงิน แต่ในเมื่อวันนี้ตนเองไม่ใช่ตำรวจเป็นประชาชนที่จ่ายภาษี จึงมีสิทธิ์ยื่นต่อกมธ. ให้ตรวจสอบหากผลเป็นจริงตามที่ร้องหมายความว่าท่านมีหน้าที่ปราบปราม แต่กลับรับเงินเสียเอง
พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ ระบุว่า ด้านนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ก็ได้เปิดเผยข้อมูลนี้เช่นกัน แต่รายละเอียดในเรื่องเงินต่างๆ มีการโอนเงินไปยังข้าราชการตำรวจบางคนร้อยกว่าครั้ง และในนั้นยังมีการโอนเงินไปให้ภรรยา พี่ชาย พี่สาว ของ บิ๊ก ต.เต่า โดยแสดงให้เห็นว่าบิ๊ก ต.เต่าเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมายทุกเรื่อง
พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ กล่าวถึงกรณีเรื่องข้อสอบจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ตนยื่นร้องต่อ กมธ. แล้วนั้น ขอยืนยันว่าตนไม่ได้โกงข้อสอบ และไม่ได้มีพยานหลักฐานใดๆ มาถึงตนเองด้วยถึงแม้ผู้ดูแลข้อสอบของจุฬาฯจะมีการนำเอกสารมาให้กับตำรวจชั้นประทวนนายหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกน้องของตนเอง แต่ข้อสอบดังกล่าวตนเองไม่เคยได้รับ และไม่เคยถูกเปิดด้วยซ้ำ
อีกทั้งการตั้งคณะกรรมการวินัยนั้น จะต้องดำเนินการก็ต่อเมื่อกระทำความผิดหรือถูกกล่าวหาในคดีอาญา แต่กรณีนี้ตนยังไม่ได้ตกเป็นผู้ต้องหา และไม่ได้ถูกดำเนินคดีในคดีอาญา แต่กลับถูกตั้งคณะกรรมการวินัย มองว่าไม่เป็นธรรมกับตน เป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ
ส่วนการประชุมในภาคบ่ายจุดเริ่มต้นเกิดจาก นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์เรื่องตั๋วหนู มีการแต่งตั้งนายตำรวจข้างกายคนหนึ่งของนายกรัฐมนตรี ยศพลตำรวจโท ซึ่งเกี่ยวข้องกับผับจินหลิง และตู้ห่าว ซึ่งนายตำรวจท่านนี้ถูกตนเองดำเนินคดี และคดีอยู่ใน ป.ป.ช.
ส่วนกรณี พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ ผบ.ตร. ให้สัมภาษณ์ตำหนิ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ กรณีคำพูดว่าตำรวจเป็นองค์กรอาชญากรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศที่ระบุว่า คำพูดดังกล่าวรุนแรงเกินไป เป็นคำพูดที่ทำให้ตำรวจเจ็บช้ำ
ในประเด็นดังกล่าว พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตอนนี้สังคมมองว่าตำรวจไม่ได้ทำดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ - เว็บพนัน ซึ่งการที่ตนเองพูดถึงว่าตำรวจเป็นองค์กรอาชญากรรมไม่ได้เหมารวมถึงตำรวจทั้งแผ่นดิน
แต่พูดถึงตำรวจบางกลุ่ม โดยเฉพาะตำรวจไซเบอร์ ที่มีหน้าที่ปราบปรามเว็บพนัน แต่สุดท้ายตำรวจบางรายรับเงินมีผลประโยชน์จากเว็บพนัน ซึ่งตำรวจเพียงหยิบมือเดียวทำให้ตำรวจกว่า 2 แสนคน ต้องเสียหาย
สิ่งที่ผบ.ตร.ควรทำ คือรีบแก้ไขและจัดการปัญหาดังกล่าว ไม่ใช่มาพูดโต้แย้งกับตนเองพออธิบายกับสังคมหรือตอบคำถามกันไม่ได้ ก็พยายามจะเอาตำรวจทั้งประเทศมาพูดให้เกลียดชัง ซึ่งก่อนหน้านี้ในเรื่องของเส้นเงินจากเว็บพนันไม่มีมาแตะตนแม้แต่เส้นเดียว
ตนถูกให้ออกจากราชการแต่ตำรวจบิ๊ก ต.เต่า มีเส้นเงินโอนเข้าคนใกล้ชิดร้อยกว่าครั้ง กลับไม่ถูกดำเนินการใดๆ มองว่า ผบ.ตร. เลือกปฏิบัติ
ส่วนกรณีที่พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ ให้สัมภาษณ์สื่อกล่าวถึงวลีคนบ้านปทุมวันไม่ควรทำร้ายบ้านตัวเอง คิดว่าหมายถึงใครนั้น พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ กล่าวว่า หมายถึงตนเองแน่นอน เพราะตนเองเป็นคนบ้านปทุมวัน ท่านจะเกลียดตนเองไม่เป็นไร หากรักองค์กรจริง ท่านจะต้องปกป้อง รักษาองค์กร ช่วยกันปราบปรามผู้ที่ทำให้องค์กรเสื่อมเสีย


