


23+
























"ตร.ไซเบอร์" ทลายธุรกิจรับแลก "Worldcoin" หลังคนแห่สแกนม่านตา
"ตร.ไซเบอร์" ปฏิบัติการตรวจ 109 จุด ทั่วประเทศ ทลายธุรกิจเถื่อนรับแลกเหรียญ "Worldcoin" หลังคนแห่สแกนม่านตา
24 ต.ค.2568 ตำรวจไซเบอร์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว ตร.ไซเบอร์ปฏิบัติการ 109 จุด ทั่วประเทศ ทลายธุรกิจเถื่อนรับแลกเหรียญ Worldcoin หลังคนแห่สแกนม่านตา
สืบเนื่องจาก พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.สอท. ได้สั่งการให้ยกระดับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีทุกรูปแบบ รวมถึงการกระทำผิดเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลผิดกฎหมาย ซึ่งจากกรณีที่ปรากฏข่าวในสื่อมวลชนว่ามีกลุ่มบุคคลเชิญชวนประชาชนทั่วไปให้เก็บสแกนข้อมูลชีวภาพ (ม่านตา) เพื่อแลกกับการได้รับแจกสินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้มีประชาชนจำนวนมากเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว
ต่อมา มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้อภิปรายแสดงข้อห่วงใยว่า อาจมีผู้ไม่ประสงค์ดีนำข้อมูลชีวภาพ (ม่านตา) ดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งทางกรมการปกครองเอง ก็ได้ออกมาแจ้งเตือนเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า
"การดำเนินการจัดเก็บข้อมูลม่านตาดังกล่าวนั้น ไม่ใช่การดำเนินการจัดเก็บข้อมูลของสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง หรือส่วนราชการอื่นๆ จึงขอให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประชาสัมพันธ์ข้อมูลในท้องที่ สอดส่องการจัดกิจกรรมดังกล่าว อย่าให้เกิดการหลอกลวงประชาชนเนื่องจากขณะนี้อยู่ระหว่างที่ บช.สอท. วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ” จนนำมาสู่ปฏิบัติการตรวจค้นจับกุมในครั้งนี้
โดยเจ้าหน้าที่สายตรวจไซเบอร์ กก.3 บก.สอท.5 ได้ตรวจสอบพบว่า มีผู้ใช้บัญชี Facebook รายหนึ่งโพสต์ข้อความว่า “รับแลกเหรียญเป็นเงินสด เชิญครับ สแกนหน้ายืนยันตัวตนเชิญครับ” พร้อมกับแนบภาพถ่ายแสดงบรรยากาศบริเวณจุดที่รับสแกนม่านตา ซึ่งมีประชาชนจำนวนมากรอคิวภายใต้เต็นท์ที่จัดไว้บริเวณทางเดินด้านหน้า
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปลอมตัวลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบ ณ จุดรับสแกนม่านตาแลกเงิน และได้พบกับบุคคลรายหนึ่งที่มีพฤติกรรมเป็นนายหน้ารับแลกเหรียญ Worldcoin เป็นเงินสด จึงได้ส่งสายลับไปเข้าร่วมสแกนม่านตาดังกล่าว และนัดหมายกับนายหน้าเพื่อขอแลกเงินสดในวันถัดไป เนื่องจากระบบจะโอนเหรียญเข้ากระเป๋าผู้ใช้งานภายใน 24 ชั่วโมง
วันต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงส่งสายลับกลับไปยังจุดเดิมเพื่อแลกเปลี่ยนเหรียญตามที่นัดหมาย จากการตรวจสอบพบว่าเหรียญ Worldcoin จำนวน 30 WLD ได้เข้ากระเป๋าดิจิทัลในแอปพลิเคชันแล้ว นายหน้าคนดังกล่าวจึงกดโอนเหรียญไปยังกระเป๋าดิจิทัลของตนเองให้ พร้อมกับโอนเงินสดให้สายลับ จำนวน 900 บาท โดยคิดเป็นอัตราแลกเปลี่ยน 30 บาท ต่อ 1 WLD
ซึ่งการที่คนทั่วไปมารับแลกเหรียญเป็นเงินสดดังกล่าว โดยมิได้รับอนุญาตจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ถือว่าเข้าข่ายเป็นการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลโดยมิได้รับอนุญาต ตาม พรก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ.2561
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนจนทราบตัวนายหน้าคนดังกล่าว จึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน กระทั่งสามารถนำกำลังเข้าจับกุม นายกิตติ อายุ 45 ปี ในข้อหา “ประกอบธุรกิจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาต” เบื้องต้นเจ้าตัวปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
จากการจับกุมดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนขยายผลจนนำมาสู่การรวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถออกหมายจับผู้กระทำผิดลักษณะดังกล่าวเพิ่มเติม รวมทั้งออกหมายค้นพื้นที่เป้าหมายได้สำเร็จ
กระทั่งวันศุกร์ที่24 ต.ค.68 เวลาประมาณ 06.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ระดมกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย จำนวน 109 จุดทั่วประเทศโดยมีผลการปฏิบัติ ดังนี้ จับกุมผู้ต้องหาเพิ่มเติม จำนวน 1 ราย คือ นายสุทธิ อายุ 35 ปี จับกุมตัวได้บริเวณหลังปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง สาขานวมินทร์ แขวงนวมินทร์ เขตบึงกุ่ม กทม.
โดยดำเนินคดีในข้อหา“ประกอบธุรกิจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาต” จากพฤติการณ์รับซื้อเหรียญจากผู้ที่ผ่านการสแกนม่านตา เช่นเดียวกับผู้ต้องหารายแรก
จากการสอบถามนายสุทธิ รับว่า ตนเองรับแลกเหรียญ WLD จำนวน 35 เหรียญ ในราคา 1,000 บาท เมื่อหัก 7% แล้ว จึงโอนเงินที่คงเหลือโอนให้ลูกค้า ประมาณ 930 บาท โดยผู้ต้องหาอ้างว่า ไม่ทราบมาก่อนว่าการกระทำดังกล่าวนั้น มีความผิดตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบตัวแอปพลิเคชันดังกล่าวรวมถึงบริษัทที่รับสแกนม่านตา เบื้องต้นยังไม่พบว่ามีการกระทำผิดเข้าข้อกฎหมายใด แต่การรับแลกเหรียณสกุลดิจิทัลเป็นเงินสดโดยไม่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ถือว่าเป็นความผิดตาม พรก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ.2561 ในการประกอบธุรกิจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาต
อีกทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังมีความกังวลเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลอัตลักษ์ดังกล่าว ว่าอาจมีการรั่วไหล หรืออาจถูกนำข้อมูลไปส่งต่อหรือขายต่อในภายหลัง จนเป็นการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่ซึ่งตำรวจไซเบอร์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเฝ้าระวังและตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง หากพบว่ามีการละเมิดข้อกฎหมาย ก็จะเร่งดำเนินคดีตามกระบวนการต่อไป



23+


























